นับจากปี
2547
ถึงวันนี้ เป็นระยะเวลา 12
ปีเต็มแล้วที่เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง
แทบมองไม่เห็นหนทางในการยุติหรือแก้ไขปัญหา
และไม่รู้ว่าความสงบสุขร่มเย็นดังที่เคยเป็นในอดีตจะมีโอกาสหวนกลับคืนมาอีกหรือไม่
และสถานการณ์จะเป็นอยู่อย่างนี้ต่อไปอีกยาวนานเท่าไหร่
สถานการณ์จังหวัดชายแดนใต้ปัจจุบันยังคลุมเครือและดูไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
กระนั้นคนในพื้นที่ ไม่ว่าภาครัฐ เอกชน
หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งทำหน้าที่ประสานงานรวมถึงประชาชนส่วนใหญ่ยังมีประกายแห่งความหวังที่รอการจุดติดให้ปลายสุดด้ามขวานทองกลับมามีสันติอีกครั้ง
หากทุกๆ ฝ่ายร่วมไม้ร่วมมือกัน
เอาใจใส่และสานต่องานที่ล้นเกล้าฯทั้งสองพระองค์คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงปลูกฝังรากแก้วไว้ในผืนดิน
สิ่งที่เป็นความหวังและสัญญาณที่ดีขึ้น
เป็นความร่วมมือระหว่างชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมในการอยู่ร่วมกันตามแนวโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดชายแดนใต้ซึ่งมีทั้งโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและฟาร์มตัวอย่างให้ชาวบ้านใน
จ.ยะลา ปัตตานี และนราธิวาสได้ศึกษา เรียนรู้
และเป็นแหล่งจ้างงานทำให้เกิดรายได้ในการดำรงชีพ โดยโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริดังกล่าวมี
พล.อ.ณพล บุญทับ รองสมุหราชองครักษ์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นประธานโครงการ
สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย
980 นำโดย สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการ และ เกษม มูลจันทร์ รองเลขาธิการ ร่วมกับ
พล.อ.ณพล บุญทับ นำคณะสื่อมวลชนลงเยี่ยมเยียนพื้นที่ใน จ.ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
รวมทั้งเห็นถึงความคืบหน้าของโครงการพระราชดำริที่ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ทุกข์ร้อนจากความไม่สงบ
นอกเหนือจากการเยี่ยมเยียนชาวบ้านในพื้นที่และมอบยารักษาโรค
เครื่องอุปโภคบริโภคแก่ชาวบ้านแล้วยังได้เข้ากราบมนัสการพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ
เพื่อมอบยาและปัจจัยด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงใกล้วันเข้าพรรษาที่จำเป็นต้องมีพระสงฆ์อยู่จำวัด
ซึ่งในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ 3 จังหวัด ยะลา ปัตตานี และนราธิวาสมีวัดถึง 100
วัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ไม่ครบองค์ ไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้ เช่น
สวดปาฏิโมกข์ เป็นต้น
ด้วยเหตุดังกล่าว
พล.อ.ณพลและสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 จึงร่วมกันไปให้กำลังใจพระภิกษุสงฆ์
พร้อมทั้งมีโครงการนำพระภิกษุสงฆ์จากภาคอื่นๆ
ไปจำพรรษาที่ชายแดนภาคใต้ก่อนวันเข้าพรรษา 20 กรกฎาคม 2559
เพื่อให้มีพระสงฆ์ครบหมู่ คือ 5 รูปในแต่ละวัด
จะได้ปฏิบัติศาสนกิจและสวดปาฏิโมกข์ได้ตามพระธรรมวินัย
พล.อ.ณพลกล่าวว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญในทางพุทธศาสนา
ไม่ว่าสำหรับวัดเองหรือพุทธศาสนิกชนในภาคใต้ สามารถประกอบศาสนกิจและกิจกรรมทางพุทธศาสนาในวันเข้าพรรษาได้
เช่น การทำบุญตักบาตรตามประเพณี การถวายเทียนเข้าพรรษา เป็นต้น
ซึ่งโครงการจัดส่งพระสงฆ์ไปจำพรรษาที่ภาคใต้เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2547
แต่ละปีมีจำนวนมากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละวัดเสนอขอมา บางปี 30
รูป บางปีมากถึง 400 รูป
โดยทางเจ้าคณะจังหวัดแต่ละจังหวัดในส่วนกลางจะเป็นผู้สอบถามความสมัครใจของพระสงฆ์ที่อาสาไปจำพรรษาที่ภาคใต้
จากนั้นส่งรายชื่อพร้อมทั้งใบรับรองว่าเป็นพระในปกครองของเจ้าคณะจังหวัดนั้นๆ
ให้กับทางโครงการ เพื่อไปจัดสรรลงไปในแต่ละวัด
“ที่ต้องมีใบรับรองและตรวจสอบ
เนื่องจากว่าบางปีตรวจสอบพบพระปลอมแอบอ้างเข้ามาในโครงการ
สำหรับพระสงฆ์ที่สมัครใจไปจำพรรษาที่วัดในภาคใต้
มีกติกาว่าจะต้องอยู่ตลอดระหว่างฤดูเข้าพรรษา
เมื่อออกพรรษาและรับกฐินแล้วจึงจะกลับวัดเดิมหรือจังหวัดบ้านเกิดได้
แต่ถ้าพระสงฆ์รูปใดสมัครใจจะอยู่ต่อ ทางโครงการจะดูแลและจัดส่งทหารในพื้นที่เข้าไปให้การช่วยเหลือ”
พล.อ.ณพลอธิบาย
ก่อนจะมีการจัดส่งพระภิกษุสงฆ์ลงไปในพื้นที่แต่ละวัด
คณะทั้งหมดเดินทางเข้ากราบนมัสการพระครูสุนทรธรรมประดิษฐ์
เจ้าอาวาสวัดบุราณประดิษฐ์ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ซึ่งวัดแห่งนี้มีข่าวขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์รายวันมาแล้ว
เป็นเหตุการณ์พระสงฆ์ในวัดถูกยิงระหว่างออกบิณฑบาต มีทั้งบาดเจ็บและมรณภาพ
วัดบุราณประดิษฐ์ตั้งอยู่
อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี มีพระสงฆ์จำพรรษาในวัดทั้งหมด 9 รูป พระสุชาติ เตชธัมโม
เป็นพระลูกวัด หนึ่งในภิกษุสงฆ์ที่ถูกยิงในเหตุการณ์วันที่ 5 มีนาคม 2554
ระหว่างออกบิณฑบาต พระสุชาติสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า
ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว โดนคนร้ายไม่เห็นหน้ายิงปืนเข้าใส่
พอจะหันไปดูเห็นมีพระรูปหนึ่งโดนยิงล้มลงไปแล้ว ตนเองจะเดินบิณฑบาตต่อ
ปรากฏว่าไปไม่ได้ล้มฟุบลงตรงนั้นเลย
“ปกติแล้วช่วงนั้นหากพระจะออกบิณฑบาตจะมีทหารเดินไปด้วย
แต่เห็นว่าเหตุการณ์วันนั้นไม่น่ามีอะไร จึงไม่ได้ขอกำลังทหาร
หลังออกจากโรงพยาบาลแล้วต้องนั่งรถเข็นไปไหนต่อไหน เพราะช่วงล่างพิการเดินไม่ได้
ลำบากมากทีเดียว ออกบิณฑบาตไม่ได้อีก ต้องอาศัยโยมแม่นำอาหารมาให้
และชาวบ้านละแวกนี้นำมาถวาย
ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก
อยากให้ทุกคนอยู่กันอย่างสงบสุขเช่นก่อนปี 2547 หลัง 2547
เป็นต้นมาจนถึงตอนนี้เหตุการณ์แรงขึ้น ไม่ว่าพระสงฆ์หรือชาวบ้าน
ทำศาสนกิจทุกอย่างต้องให้เสร็จก่อน 6 โมงเย็น”
พระสุชาติบอกว่าบวชและจำพรรษาที่วัดนี้มาถึง
19 ปีแล้ว ดังนั้นแม้จะมีเหตุการณ์แต่ไม่เคยคิดจะย้ายหนีไปไหน
ต้องทำหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ “ถ้าถามว่าอยากได้อะไรมากที่สุด
ก็ต้องบอกว่าอยากให้เหตุการณ์ภาคใต้กลับมาสงบสุขเหมือนเดิม
การที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานสิ่งของมาช่วยเหลือนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่พระที่อาพาธ
มีความยินดีและมีกำลังใจอย่างยิ่ง
ที่ยังมีความห่วงใยไม่ว่าพระหรือประชาชนในพื้นที่”
สำหรับวัดไทยใน
อ.โคกโพธิ์ เดิมมีจำนวน 28 วัด แต่ปัจจุบันมีไม่ถึง บางวัดกลายเป็นวัดร้าง
ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา บางวัดมีพระสงฆ์ไม่ถึง 4 รูป ไม่สามารถสวดปาฏิโมกข์ได้
จากวัดบุราณประดิษฐ์
คณะทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังวัดมะกรูด ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก
ที่วัดแห่งนี้เดิมมีพื้นที่เล็กๆ ต่อมาสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
พระราชทานเงินซื้อที่ดินเพิ่มเติม เพื่อทำเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและฟาร์มตัวอย่างแก่ราษฎรในละแวกนี้
โครงการวัดมะกรูดอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นแปลงเกษตรปลูกพืชผักสวนครัว พริก มะนาว
มะกรูด และผลไม้ ส่วนฟาร์มตัวอย่างเป็นฟาร์มเลี้ยงไก่
มีชาวบ้านรวมกลุ่มกันเข้ามาทำและจัดการบริหาร
ที่บ้านไอร์บือแต
ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส เป็นอีกโครงการที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงได้เข้าไปช่วยเหลือสร้างหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและฟาร์มตัวอย่าง
ทั้งยังจัดสร้างบ้านให้ราษฎรอยู่อาศัย หลังละ 2.5 แสนบาท
บ้านไอร์บือแตเดิมเป็นที่ดินสวนยางของนายทุนคนจีน
แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่สงบได้ประกาศขาย สมเด็จพระบรมราชินีนาถได้พระราชทานเงินส่วนพระองค์ซื้อไว้แล้วนำมาพัฒนาเป็นที่ทำกินสำหรับชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน
ได้รับผลกระทบจากการก่อความไม่สงบ มีเนื้อที่ประมาณ 1,700 ไร่
แบ่งออกเป็นส่วนของฟาร์มตัวอย่าง แปลงปลูกพืชสวน พืชไร่ ปศุสัตว์ เป็นต้น
ขณะนี้มีชาวบ้านหนีร้อนมาพึ่งเย็นอาศัยอยู่ 150 ครอบครัวจากหลากหลายกลุ่ม
รวมทั้งราษฎรที่ยากจนด้วย
สมเด็จพระบรมราชินีนาถ
รับสั่งเกี่ยวกับโครงการว่า “..ที่ฉันทำฟาร์มตัวอย่างขึ้น
เพื่อสอนชาวบ้านให้สะสมอาหารเพิ่มขึ้น จะได้ไม่มีปัญหาในเรื่องอาหารการกิน
และทำโครงการฟาร์มตัวอย่าง ต้องการให้ทุกๆ คนที่ข้าพเจ้าพบปะ ได้มีอาชีพ
ได้มีทางทำมาหากิน..”
“เหตุการณ์ที่ผ่านมาเราไม่ไปโทษใคร
ปีนี้ดูแล้วดีขึ้น และมีแนวโน้มจะดีไปเรื่อยๆ
สิ่งที่อยากฝากไว้ในฐานะตัวแทนของกองทัพ
คือการใช้งบประมาณให้ถูกต้องเพื่อมาพัฒนาปากท้องของประชาชน ดูแลความเป็นอยู่
ความปลอดภัยในพื้นที่นี้
ทุกวันนี้เราหมุนเวียนกันจัดเวรยามรักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆ ที่สำคัญ
แล้วทำมาหากินไป ใครว่างก็มาเข้าเวรยาม ทำให้ลดกำลังทหารลงได้”
ภาพโดยรวมของชาวบ้านจังหวัดชายแดนใต้
ไม่ว่าไทยพุทธหรือมุสลิม หากได้รับความใส่ใจดูแล ทำให้อยู่ดีกินดี มีการศึกษา
มีอาชีพ ชาวบ้านก็จะช่วยกันดูไม่ให้มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น
เชื่อว่าความหวังที่อยากให้สันติสุขกลับมา
คงมีโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น