วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

มหัศจรรย์ความหลากหลายของธรรมชาติ ที่นี่ “ทรายขาว”



        ทรายขาว  ไม่ใช่หาดทราย ทรายขาว ไม่ใช่ทะเล แต่...ทรายขาว คือภูเขาลูกใหญ่ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ ทั้งภูเขา ต้นไม้ น้ำตก วิวสวยหลักล้าน ผู้คนใจดี  อาหารอร่อย  มีรถจิ๊บ มีผาพญางู มีพระใหญ่ และเรามีความประทับใจของทรายขาวมาเล่าให้ฟัง

          ตั้งแต่เด็กเล็กๆ หากใครเอ่ยชวนไปเที่ยวน้ำตกทรายขาวหูจะผึ่งทันที ใจเต้นโครมคราม ตาจับจ้องอยู่ที่รถและพร้อมที่จะกระโจนขึ้นรถทันที ด้วยเกรงว่าผู้ใหญ่ไม่พาไปหรือจะลืมเราไว้ตรงนั้น เพราะการไปเที่ยวน้ำตกแต่ละครั้งก็ต้องรอผู้ใหญ่พาไปเท่านั้น ครั้นจะไปกันเองเป็นต้องโดนไม้เรียวเป็นแน่  จนเติบโตมาคำว่า ทรายขาว ก็ยังติดตาและติดใจอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้กาลเวลาผันเปลี่ยน น้ำตกทรายขาว ก็ยังเป็นน้ำตกขึ้นชื่อของจังหวัดปัตตานีเช่นเดิม และคิดว่าน้ำตกทรายขาวคงเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ท่องเที่ยวของเด็กๆจากรุ่นสู่รุ่น จนเติบใหญ่กันทุกคนด้วย ด้วยกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ทรายขาว ไม่ได้เป็นแค่น้ำตกอีกแล้ว แต่ยังมีอีกหลายจุดที่ค้นพบและประกาศเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มเติม  แต่ทั้งมวลนั้นก็อยู่ที่เดียวกันคืออุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว ตำบลทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี

        จุดแรกของการเดินทางท่องเที่ยวทรายขาววันนี้ เราเริ่มต้นด้วยการนั่งรถจิ๊บย้อนยุค ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ลุงซ้วน (นายเพลินศักดิ์ พรหมสุข) เจ้าของรถจิ๊บคลาสสิค สภาพแจ่ม นักสื่อความหมายท้องถิ่น เล่าให้ฟังด้วยความภูมิใจว่า ถ้าจะถามถึงอายุรถคันนี้ก็น่าจะไม่ต่ำกว่าเจ็ดสิบปี แต่สภาพยังฟิตปั๋ง ใครเห็นเป็นต้องขอถ่ายรูปคู่ด้วย ไม่ก็จะขอซื้อซะงั้นแหละ ทีมลุยป่าเราเริ่มต้นขึ้นรถจิ๊บจากหน้าวัดทรายขาว มุ่งหน้าขึ้นสู่อุทยานฯ ตลอดเส้นทางขึ้นอุทยานรับรู้ได้ถึงความเย็นสบายยามเมื่อลมเย็นๆปะทะหน้า รับรู้ได้ถึงความสดชื่นของเหล่าต้นไม้นานาพันธุ์ที่รายล้อมตลอดเส้นทาง จนมาถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว ได้ยินเสียงน้ำตกดัง ซูว!! ซูว!! เราแวะหย่อนกายสัมผัสน้ำเย็นที่ไหลเอื่อยมาจากเบื้องสูงสักหน่อย ประพรมหน้าให้สดชื่น

       น้ำตกทรายขาว เป็นน้ำตกที่ตกลงจากหน้าผาสูงประมาณ 40 เมตร ก่อนไหลลงไปตามลำธาร ลดหลั่นกันไปเป็นชั้นๆ ทำให้เกิดเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งในแต่ละชั้นของน้ำตกจะมีชื่อเรียกขานแตกต่างกันไป อย่างเช่น วังสระหัวนาค วังหินดาน วังร่มไทร วังทำนบ เป็นต้น ลุงซ้วน เล่าให้ฟังว่า ที่นี่น้ำใส ไหลเย็นตลอดทั้งปี ถ้าเป็นช่วงวันหยุด ก็จะมีนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าต้นน้ำน้ำตก นอกจากจะทำให้มีน้ำตลอดทั้งปีแล้ว บริเวณรอบๆยังเต็มไปด้วยพรรณไม้อนุรักษ์หาดูยากเช่น หลุมพอ ตำเสา ตะเคียนทอง ให้ได้ศึกษาเรียนรู้กันอีกด้วย หลังจากสัมผัสความเย็นพอสมควรเราก็เริ่มเดินทางกันต่อ เพื่อศึกษาเส้นทางธรรมชาติเขาหินช้าง ซึ่งมีความสูงถึง 1,400 เมตร และแน่นอนว่าเรายังอยู่กับรถจิ๊บคู่ใจกันอีกยาวเพราะทางขึ้นมีความชันอยู่เหมือนกัน ( แต่ถ้าใครอยากจะทดสอบกำลังอึด จะลองเดินเท้า หรือปั่นจักรยานขึ้นก็ได้น่ะ ถ้าคิดว่าไหว... )

     เรานั่งรถจิ๊บลัดเลาะขึ้นเขาไปจนถึงจุดไฮไลท์สำคัญนั่นก็คือ ผาพญางู เป็นก้อนหินขนาดใหญ่ มีลักษณะคล้ายกับหัวงูขนาดยักษ์ โผล่พ้นออกมาจากหน้าผาดูหน้าเกรงขาม มีความเชื่อกันว่าพญางูจะคอยคุ้มครองผืนป่ารวมทั้งปกปักรักษาผู้คนให้แคล้วคลาดพ้นภัยจากภัยอันตราย

       อิ่มเอมกับธรรมชาติรังสรรค์ตรงหน้าเต็มที่แล้ว เราก็ขยับขึ้นไปไม่ไกลนักก็มาถึงจุดชมวิว ที่ๆสามารถมองเห็นวิวไกลสุดลูกหูลูกตาบนเขาหินช้าง จุดชมวิวแห่งนี้เรียกว่าจุดชมวิว เขารังเกียบ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธมหามุนินทโลกนาถ ปางยมกปาฏิหาริย์ มีความสูง 29.80 เมตร และมี ศาลทวดรังเกียบ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวทรายขาวนับถือ ใกล้ๆกันมี ถ้ำวิปัสสนา ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปแกะสลักจากแก่นไม้ ลีลาวดี เป็นถ้ำที่หลวงปูทวดเคยมานั่งวิปัสสนาด้วย นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาตินั่นคือ หินเทพพินิจ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ทำให้หินคล้ายกับหน้าท่านเทพ นับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ รวมทั้งความสมบูรณ์ของผืนป่าแบบครบที่เดียวเลยก็ว่าได้

      สำหรับการเดินทางสู่ อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว จากตัวเมืองปัตตานี สามารถเดินทางมาโดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 409 ปัตตานี-ยะลา ถึงสามแยกนาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ระยะทางประมาณ 28 กิโลเมตร จากนั้นเดินทางต่อโดยใช้เส้นทางสายนาประดู่-ทรายขาว เข้าสู่อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว ระยะทางอีก 7 กิโลเมตร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว โทร. 073-420295 แต่ถ้าใครอยากจะสัมผัสประสบการณ์นั่งรถจิ๊บโบราณเปิดประทุน ลัดเลาะ ไต่ขึ้นยอดเขาแล้วละก็ แนะนำว่าให้ติดต่อลุงซ้วน ( นายเพลินศักดิ์ พรหมสุข ) ได้ที่เบอร์โทร. 089-9772271

แต่ถ้าอยากจะสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติให้เต็มอิ่ม นอนฟังเสียงป่า ตื่นมาดูหมอกยามเช้าตอนหัวรุ่งบนจุดชมวิวละก็ แนะนำว่าให้พักที่ที่พักบนจุดชมวิว หรือจะปักเต้นท์ค้างแรม หรือพักโฮมสเตย์ชาวบ้านทรายขาว โฮมสเตย์ที่ผ่านมาตรฐานโฮมสเตย์ไทย กรมการท่องเที่ยว ก็เป็นอีกโปรแกรมที่ไม่ควรพลาด สนใจติดต่อพี่ชุติมา เศียรอินทร์ ประธานกลุ่มโฮมสเตย์บ้านทรายขาว โทร. 089-7371969








































------------------------------ 

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ทะเลหมอก “ไต้ต๋ง” แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของชาวเบตง



         นายอมร นิลรัตน์ เทศบาลตำบลธารน้ำพิทพ์ อ.เบตง จ.ยะลา ผู้ประสานงานทะเลหมอกไต้ต๋ง กล่าวว่า ทะเลหมอกไต้ต๋ง หรือ ทะเลหมอกสองแผ่นดิน เป็นการค้นพบทะเลหมอกแห่งใหม่ของอำเภอเบตง แม้ว่า เบตง สามารถชมหมอกได้ตลอดปี แต่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่า พื้นที่ที่อยู่ใกล้ตัวเมืองเบตงมากอย่างตำบลธารน้ำทิพย์ จะสามารถชมทะเลหมอกและมองเห็นวิวประเทศเพื่อนบ้านมาเลเซียได้สวยมากขนาดนี้

           โดยเจ้าของพื้นที่คือ นายอำนวย เอียดทองใส เป็นเจ้าของที่บริเวณชมทะเลหมอกไต้ต๋ง เป็นผู้ค้นพบ แต่เก็บไว้ไม่ได้บอกใคร เพราะเป็นพื้นที่สวนของครอบครัวได้ ผมเป็นเพื่อนกับพี่อำนวย เมื่อเราได้มาเห็นทะเลหมอกก็ตกใจมาก ประกอบกับผมอยู่เทศบาลตำบลธารน้ำทิพย์ มีหน้าที่พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจึงได้คุยกับพี่อำนวยที่เป็นเจ้าของ และพี่ประเสริฐ เจ้าของทางเข้าชมทะเลหมอก รวมถึงชาวบ้านในพื้นที่ โดยในอนาคตเตรียมพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนที่คนในชุมชนได้ประโยชน์ร่วมกันด้วย

ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่เข้ามาชมทะเลหมอกไต้ต๋ง หรือทะเลหมอกสองแผ่นดิน เป็นอาจารย์จากม.ราชภัฎยะลา เป็นผู้บุกเบิกที่เข้ามาเป็นกลุ่มแรก เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2561 และเราทางเทศบาลตำบลธารน้ำทิพย์ มีหน้าที่ในการพัฒนา และส่งเสริมการท่องเที่ยว จึงได้มีการพูดคุยกับทางอาจารย์ราชภัฎยะลา ในการพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว
มีการพูดคุยกันเสร็จ ทางราชภัฎยะลาก็ขึ้นเขาไปถางหญ้า กางเต้นท์นอนกันบนเขาไต้ต๋ง เพื่อลองชมทะเลหมอกไต้ต๋ง หลังจากนั้นชาวบ้านก็มาช่วยกันสร้างแคร่ไม้ไผ่ไว้ให้นักท่องเที่ยวชมทะเลหมอก จากวันนั้นจึงกลายเป็นความร่วมมือในการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืนให้เกิดที่ไต้ต๋งนายอมร กล่าว

            ผศ.ดร.สมบัติ โยธาทิพย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา กล่าวว่า การลงนาม MOU เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา ที่โรงแรมแกรนด์แมนดาริน อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ได้มี คุณนาซิร สนิ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดยะลา คุณสุวิทย์ นาคเป้า ปลัดอาวุโสอำเภอเบตง คุณพิริยา ชินารมยานนท์ นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการ อำเภอเบตง คุณสมยศ เลิศลำยอง นายกเทศมนตรีเมืองเบตง และคุณมะอูโซะ สาลัง นายกเทศมนตรีตำบลธารน้ำทิพย์ ได้ร่วมลงนาม MOU โครงการหมู่บ้านเพื่อการท่องเที่ยวเชื่อมรอยต่อที่สามเหลี่ยมเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวเกิดขึ้น เพื่อประสานความร่วมมือในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์จังหวัดยะลา คุณภาพชีวิตมั่นคง เกษตรมั่งคั่ง ท่องเที่ยวยั่งยืนและขับเคลื่อนวิสัยทัศน์มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยคลังปัญญาแห่งชายแดนใต้อีกทั้งเพื่อร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา โครงการตามนโยบายของรัฐบาล และโครงการตามพระบรมราโชบายร่วมกัน และเพื่อร่วมกันพัฒนาพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมที่ดีงาม ร่วมกัน
ตั้งแต่ต้นที่เราลงมาทำที่ธารน้ำทิพย์ เราใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมมาตั้งแต่ต้น รวมทั้งได้มีการจัดเวทีมาหลายครั้ง ซึ่งเราได้ฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน ร่วมทั้งผู้นำท้องถิ่น และเทศบาลว่า เราจะร่วมกันพัฒนาพื้นที่ตรงนี้อย่างไร และแน่นอนว่า เราจะไม่ใช้การพัฒนาที่วุ่นวาย หรือทำลายทรัพยากรที่มีอยู่
ผศ.ดร.สมบัติ กล่าวต่อว่า โดยการพัฒนาเรามีเป้าหมายคือ ทำอย่างไรให้พี่น้องประชาชนได้มีความสุขในทรัพยากรของเขา ได้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ และมองเห็นคุณค่า นอกจากคุณค่าทางจิตใจแล้ว เม็ดเงินต่างๆต้องให้พื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ซึ่งการเข้ามาศึกษาพื้นที่ของธารน้ำทิพย์ มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา เราได้มีการพูดคุยไปจนถึงการตั้งชุมชนจีนกวางไสที่เป็นคนจีนกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาอยู่ในอำเภอเบตง และถือเป็นกลุ่มคนจีนดั้งเดิมที่มีจำนวนมาก และมีความเป็นไปได้ที่ทาง ม.ราชภัฎยะลาจะมีการจับมือกับประเทศจีนให้เป็นบ้านพี่เมืองน้อง โดยเราได้ไปประเทศจีนมาแล้ว และนักศึกษาที่จะมาอยู่ที่นี้ก็เป็นกลุ่มคนจีนกวางไส ซึ่ง ผศ.แวอาซีซะห์ ดาหะยี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลาได้มีการทำวิจัยดังกล่าวด้วย
เพราะฉะนั้นการทำให้ เบตงมีอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และสินค้าต่างๆจากฝีมือพี่น้องประชาชน มหาลัย แค่เจียระไนเพชรที่อยู่ในตมที่ยังไม่คนดึงออกมาขัดเกลา ราชภัฎยะลามีหน้าที่ขัดเกลาเพชรตรงนี้ให้มันสว่างไสวและประดับได้ เราคงไม่ไปเอาเพชรที่อื่นมา แต่เรากำลังเอาเพชรที่อยู่ในพื้นที่ตำบลธารน้ำทิพย์ขึ้นมา โดยราชภัฎและทุกภาคส่วนร่วมกันเจียระไนตรงนี้ให้งาม คงทน ถาวร และมีเสน่ห์ของความยั่งยืนต่อไปผศ.ดร.สมบัติ กล่าว

           นายสมยศ เลิศลำยอง นายกเทศมนตรีเมืองเบตง กล่าวว่า การผลักดันการท่องเที่ยวชุมชนที่ตำบลธารน้ำทิพย์ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ถือเป็นนิมิตรหมาย และนวัตกรรมที่ดี ในการที่ทุกภาคส่วนได้มีการบูรณาการร่วมกัน ซึ่งต้องขอบคุณทางมหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา อธิการบดี และคณาอาจารย์ทุกท่าน ที่เข้ามาพัฒนาที่นี้
เรามีจุดเด่นร่วมกันในการดึงจุดเด่นของแต่องค์กร มาร่วมกันบูรณาการเพื่อพัฒนาเมืองเบตงในการพัฒนาสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ รับกับสนามบิน ซึ่ง ม.ราชภัฎยะลา ช่วยทำหน้าที่เป็นคลังวิชาการ ในการเป็นคลังปัญญาแห่งชายแดนใต้ ร่วมกับทุกภาคส่วนเข้ามาพัฒนาท่องเที่ยวที่นี้

นายสมยศ กล่าวต่อว่า การที่มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลาลงมาทำวิจัยในเบตงถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะในการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการทำวิจัยออกมายืนยันก่อน ทั้งนี้เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และ ยั่งยืน เช่น พื้นที่เบตงควรมีการพัฒนาด้านการเกษตรและการท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่สอดคล้องกับพื้นที่ของเบตงด้วย นายไกรกร แซ่ลก หรือป๋า เรารักเบตง ชาวเบตง กล่าวว่า ไต้ต๋ง ถือเป็นทางเลือกใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวที่ชอบธรรมชาติและอยากชมทะเลหมอก เพราะที่นี้ยังเป็นธรรมชาติมากๆ ยังไม่มีการปรุงแต่ง คนยังรู้จักน้อย ไม่วุ่นวาย และที่สำคัญ ถ้าตรงกับคืนพระจันทร์เต็มดวง ช่วง 15 ค่ำ ทะเลหมอกที่นี้สวยมาก
ทะเลหมอกไต้ต๋ง ที่นี้พัฒนายากมาก เพราะพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์และยังเป็นพื้นที่แหล่งต้นของเขตป่าสงวน ทำให้การสร้างสิ่งก่อสร้าง หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่นี้ ไม่สามารถสร้างได้เหมือนกับทะเลหมอกอัยเยอรเวง ถือเป็นเรื่องที่ดี และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับนักท่องเที่ยวที่ชอบความเป็นธรรมชาติมากๆของที่นี้

นายไกรกร กล่าวต่อว่า การเดินทางเข้าไปชมทะเลหมอกสองแผ่นดิน หรือ ไต้ต๋ง เดินทางจะตัวเมืองเบตง ไปยังตำบลธารน้ำทิพย์ ระยะทางไม่ถึง 20 กิโล ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง แต่ขณะเดียวกันถ้านักท่องเที่ยวจะไปชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ระยะทางจากตัวเมืองเข้าไปประมาณ 40 กว่ากิโล ซึ่งถือว่า ค่อนข้างไกล
        ทั้งนี้ในอนาคตทะเลหมอกไต้ต๋ง จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับนักท่องเที่ยวที่อยากเข้ามาสัมผัสทะเลหมอก ที่มีความเป็นธรรมชาติมากๆ รวมถึงอยู่ไม่ใกล้กับตัวเมืองเบตงด้วย นอกจากชมทะเลหมอกแล้ว นักท่องเที่ยวยังได้มองเห็นวิวของประเทศเพื่อนบ้านบนเขาไต้ต๋งด้วย
-------------------------------------