วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560

ประวัติความเป็นมาการแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนจังหวัดยะลา


ประวัติความเป็นมา
คนไทยนิยมเลี้ยงและนิยมเล่นนกเขาชวามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในอดีตจะนิยมเลี้ยงและเล่นกันในราชสำนัก ข้าราชบริพาร ขุนนาง คหบดี และประชาชนที่สูงอายุเท่านั้น มักจะจัดการแข่งขันในงานนักขัตฤกษ์ และงานชมรม สมาคมเกี่ยวกับนกเขาชวารวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ก็มักจัดให้มีการแข่งขันเป็นครั้งคราว แต่ปัจจุบันการเลี้ยงและการจัดการแข่งขันนกเขาชวาเสียง แพร่กระจายมาสู่พ่อค้า ประชาชน และบุคคลในระดับต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และสงขลาบางส่วน ประชาชนนิยมเลี้ยงและเล่นนกเขาชวามาช้านาน โดยกระจัดกระจายอยู่ตามหมู่บ้าน ตำบลต่าง ๆ และจัดให้มีการแข่งขันในกลุ่มเล็ก ๆ เฉพาะที่สนใจเท่านั้น ไม่มีหลักฐานปรากฏยืนยัน
ได้ว่าการจัดการแข่งขันนกเขาชวาเสียงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด แต่เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักเลงนกเขาว่า การแข่งขันนกเขาชวาเสียงที่ยิ่งใหญ่เป็นที่สนใจของผู้นิยมเลี้ยงนกมากที่สุด คือ การแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำในช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา
ในปี พ.ศ.๒๕๒๙ เทศบาลเมืองยะลา ร่วมกับจังหวัดยะลา ชมรมผู้เลี้ยงนกเขาชวาเสียงจังหวัดยะลาและชมรมผู้เลี้ยงนกเขาชวาเสียงภาคใต้โดยการสนับสนุนของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมกันพัฒนาสนามแข่งขัน และกติกาการแข่งขันให้มีมาตรฐานเพิ่มขึ้น ตลอดจนความคิดที่จะพัฒนาเสริมสร้างประโยชน์ให้กับท้องถิ่นในด้านเศรษฐกิจจึงได้กำหนดให้มีการแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงชนะเลิศในระดับอาเซียน ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๙ ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยการใช้ชื่อในการจัดการแข่งขันว่า "การจัดงานแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงแชมป์กลุ่มประเทศอาเซียนครั้งที่ ๑" สาเหตุที่ใช้คำว่า "อาเซียน" เพราะมีประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเข้าร่วมแข่งขันด้วย คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และบรูไน ซึ่งประเทศดังกล่าวนี้มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับประชาชนในพื้นที่
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของไทย ได้มีการแลกเปลี่ยน สนับสนุนเกื้อกูลกันในเรื่องต่าง ๆ มาตลอด ที่สำคัญคือ มีความชื่นชอบและนิยมเลี้ยงนกเขาชวาเสียงเหมือนกัน จึงเกิดเป็นความสัมพันธ์ทางสังคม คือ สังคมนกเขาชวาเสียงตลอดมา

การจัดการแข่งขันนกเขาชวาเสียงครั้งแรก มีผู้ส่งนกเข้าแข่งขันมากถึง1,206 นกได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่ผู้นิยมเสียงนกเขาชวาเสียงและสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดยะลาและประเทศไทยเป็นอย่างมากวงการนกเขาชวาเสียงมีความตื่นตัวมีการซื้อหาและจำหน่ายกันอย่างแพร่หลายตลอดจนขยายกิจการฟาร์มเพาะเลี้ยงนกเขาชวาเสียงเพิ่มขึ้นเกิดธุรกิจนกเขาวาเสียงและสินค้าอื่นๆที่เกี่ยวกับการเลี้ยงนกเขาชวาเสียงเกิดขึ้นตามมาเช่นข้าวเปลือกนกเขาดอกหญ้ากรงนกและอุปกรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงดูแลนกหลังจากนั้นการแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนของจังหวัดยะลาได้จัดให้มี การแข่งขันตลอดมาเป็นประจำทุกปี โดยได้พัฒนากิจกรรมต่างๆ ตลอดมาจนกระทั่งครั้งที่ 6 ได้เปลี่ยนชื่อในการจัดการแข่งขันจาก "การจัดงานแข งขันนกเขาชวาเสียงชิงแชมป์กลุ่ม ประเทศอาเซียน " เป็น "จัดงานแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนครั้ง ที่ ...... . ... .." เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันปีพ.ศ. 2543 ได้จัดการแข่งขันครั้งที่ 14 รวมมีนกเข้าร่วม แข่งขันมาแล้วทั้งสิ้นประมาณ 30 , 000 นก
บรรยากาศความคึกคัก สนุกสนาน รอยยิ้มที่ทักทายกันด้วยความรัก ความเป็นมิตร ของผู้คนมากมายที่ไม่ได้คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนาและฐานะ พร้อมกับความหวัง จะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนมีนาคมของทุก ๆ ปี ในงานการจัดการแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนของจังหวัดยะลา จนถือเป็นประเพณีของจังหวัดยะลาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้บรรจุงานแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนลงในปฏิทินการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเผยแพร่ไปสู่สายตาชาวโลกอีกด้วย


ความสำคัญ

งานแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนของจังหวัดยะลานับเป็นกิจกรรมระดับชาติกิจกรรมหนึ่งที่นอกจากจะเป็นสื่อมิตรภาพที่สามารถเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา ฐานะ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ได้สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ตลอดจนก่อให้เกิดความรักความเข้าใจและความร่วมมือซึ่งกันและกันแล้วกิจกรรมดังกล่าวยังช่วยเสริมสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นทำให้เศรษฐกิจของภาคใต้ดีขึ้นชาวบ้านหลายครอบครัวมีรายได้จากการผสมนกเขาชวาขายจนสามารถสร้างบ้านใหม่สามารถซื้อรถกระบะสำหรับบรรทุกนกเขาชวาไปขายต่างถิ่นได้ ส่วนผู้มีฝีมือก็ประดิษฐ์กรงนกเขาชวาออกขายได้ราคาดีตามความประณีตของฝีมือ หลายคนเปลี่ยนอาชีพจากการทำเฟอร์นิเจอร์มาทำกรงนกเขาชวาขายบางคนเป็นข้าราชการแต่ทำเป็นอาชีพเสริม ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าหลายคนเปลี่ยนมาเย็บผ้าคลุมกรงนกเขาชวาเสียงซึ่งมีรายได้มากกว่าตัดเย็บเสื้อผ้าหลายเท่า นอกจากนี้ในช่วงฤดูกาลของการจัดการแข่งขัน ร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากผู้คนทั่วทุกสารทิศทั้งในและต่างประเทศทำให้ประชาชนในท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดยะลาและจังหวัดใกล้เคียงนับได้ว่านกเขาชวาเสียงและการจัดงานแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนของจังหวัดยะลา มีบทบาทในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของชาวบ้านในท้องถิ่นและประเทศชาติได้เป็นอย่างดีตลอดจนได้เสริมสร้างความรักสามัคคีให้เกิดขึ้นระหว่างคนในชาติและกลุ่มประเทศในอาเซียนอีกด้วย นอกจากนี้คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้นำรายได้จากการจัดกิจกรรมดังกล่าวมอบเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียนใน
โรงเรียนสังกัดเทศบาลที่ยากจนและทุนการศึกษาการสอบแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกชิงทุนนกเขาชวาอาเซียน ให้กับสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดยะลาเป็นประจำทุกปี

ลักษณะนกเขาชวาที่นิยมเลี้ยงเพื่อแข่งขัน
นักเลงนกเขาชวาจะไม่นิยมเรียกคำลักษณะนามของนกเขาชวาว่า "ตัว" แต่จะนิยมใช้คำลักษณะนามว่า "นก" แทน เป็นการยกย่องตามความเชื่อถือของคนโบราณ ที่ถือว่านกเขาชวาเป็นนกที่ให้โชคให้ลาภ และถ้านกเขาชวาลักษณะไม่ดีก็จะให้โทษด้วยไม่เหมือนนกชนิดอื่นที่เลี้ยงไว้ดูเล่นเพียงอย่างเดียว ซึ่งนกชนิดอื่นเรียกคำลักษณะนามว่า "ตัว" ได้ แต่นกเขาชวามักต้องเรียก "นก" เสมอ เช่น "นกเขาชวา ๑๐ นก" เป็นต้น
ภาคใต้ถือว่าการเลี้ยงนกเขาชวาเป็นงานอดิเรก และบางคนยังสามารถเลี้ยงเป็นอาชีพได้ด้วย หลาย ๆ ครัวเรือนจะมีเสารอกนกจำนวนมากบ้าง น้อยบ้างตามฐานะ และมักจะมีกรงนกเขาชวาแขวนตามชายคาบ้าน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายครัวเรือนที่มีกรงนกผสมพันธุ์ ขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้างตามฐานะ ที่สำคัญคือมักจะมีถ้วยรางวัลจากนกเขาชวาที่ชนะการแข่งขันจากสถานที่ต่างๆ เป็นส่วนประดับอาคารชานเรือนของตนด้วย
นกเขาชวาที่นิยมเลี้ยงมี ๒ ประเภท คือ ประเภทนกดีตามตำราเรียกว่า "นกลักษณะ" กับประเภทที่เลี้ยงไว้ฟังเสียงเรียกว่า "นกเสียง" ภายหลังความนิยมนกเขาชวาดีตรงตามตำรา หรือนกลักษณะลดลง เพราะผู้ใดได้นกลักษณะดีตรงตามตำราก็ได้เป็นผู้ชนะตลอดทุกครั้งที่มีการแข่งขัน คนอื่นที่ไม่มีหรือหาได้ไม่ดีเท่าก็จะรู้สึกไม่สนุกเพราะมักแพ้ทุกครั้งความนิยมเลี้ยงนกเสียงจึงมีมากขึ้นในช่วงหลังและนิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้ การแข่งขันนกเสียงมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้นกเขาชวาผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะผู้เป็นเจ้าของก็จะสนุกและไม่เบื่อ เพราะมีการลุ้นเพื่อให้นกของตนชนะทุกครั้งที่มีการแข่งขัน แต่นกเขาที่จะชนะได้จะต้องขันเสียงกังวานไพเราะ มีจังหวะการขับ และต้องขันทนด้วย ตามกติกาที่คณะกรรมการตัดสินกำหนด ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งในวันที่เข้าแข่งขันโอกาสจะชนะ ก็น้อย ปัจจุบันผู้เลี้ยงนกเขาชวาจึงไม่สนใจรูปร่าง
ลักษณะของนกเขาชวาว่าจะเป็นนกให้คุณหรือ ให้โทษตามตำรา แต่จะมุ่งที่เสียงนกเขาชวาเป็นใหญ่ ถ้าขันเสียงดี ไพเราะมีกังวาน นักเลงนกเขารุ่นใหม่จะนิยมเล่นทั้งสิ้น
เสียงของนกเขาชวามี ๓ ขนาด คือ ใหญ่ กลาง และเล็ก นักเลงนกเขาชวาทางภาคใต้จัดอันดับราคาเสียง ให้นกเสียงใหญ่มีราคาแพงกว่านกเขาเสียงกลาง และนกเขาเสียงกลางมีราคาแพงกว่านกเขาเสียงเล็กในกรณีที่นกมีความดีเหมือนกันนกที่ขันจังหวะช้ามีราคาดีกว่านกที่ขันจังหวะธรรมดาและจังหวะเร็ว นกที่ขันเสียงท้ายกังวานมากมีราคาดีกว่าท้ายกังวานน้อย และเสียงท้ายยาวที่มีความกังวานดีกว่าเสียงท้ายสั้นที่มีความกังวาน รวมทั้งเสียงหน้ายาวดีกว่าเสียงหน้าสั้นด้วย และนกที่มีความดีเหมือน ๆ กันขัน ๕ จังหวะ จะนิยมมากกว่า ๔ จังหวะ และ ๔ จังหวะจะนิยมมากกว่า ๓ จังหวะ สำหรับการแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนจังหวัดยะลานั้นในการแข่งขันทุกครั้งจัดให้มีการแข่งขัน ๔ ประเภท คือ ประเภทเสียงใหญ่ เสียงกลาง เสียงเล็ก และประเภทรวมเสียง
นักเลงนกเขาชวาเสียงจะตั้งชื่อนกของตนเองเป็นชื่อต่างๆ ประจำนกตามความคิด ความเชื่อ และความเป็นมาของนก เช่น ตั้งตามลักษณะรูปร่าง และสีของนก เช่น "นกแก้ว" "หัวจุก" "ช้างเผือก" "สายน้ำผึ้ง" ตั้งเพื่อเป็นสิริมงคล เช่น "วาสนา" "นำโชค" "ลูกกตัญญู" "เทพนรสิงห์" "เพชรพนม" ตั้งชื่อตามจังหวัดถิ่นที่อยู่ เช่น "ศรีเคดาห์" "ศรีมาเลาะ" "เพชรนครปฐม" "ชีลัตตานี" "สิงห์ ก.ท.ม." "ตาโละกาโปร์" "ศรีอลอสตาร์" "ศรีกระบี่" "หนุ่มชาวเขื่อน" การตั้งชื่อที่ให้ดูน่าเกรงขาม เช่น "ตะเคียนทอง" "ขุนศึก" "จันทร์เพชร" "นางพญา" "ก้องนภา" "สิงห์ทอง" "เพชรมงคล" "เพชรตะวัน" "เพชรทักษิณ" "เพชรสุริยา" การตั้งชื่อตามบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น "เป่เล่" "เป่เล่น้อย" "ปาปิญอง" "ฮิตเลอร์" "มาราโดน่า" "มารีโอ" "ซัมปีโก้" "นโปเลียน" "ไมเคิลแจ๊คสัน" เป็นต้น

ลักษณะของกิจกรรมในงานการแข่งขัน
ในระยะเริ่มต้นของการจัดการแข่งขันมีกิจกรรมหลักคือการแข่งขันนกเขาชวาเสียงประเภทเสียงต่าง ๆ คือเสียงใหญ่ เสียงกลาง เสียงเล็ก และประเภทรวมเสียง กิจกรรมร่วมได้จัดให้มีการแจกรางวัลบัตรเสารอกแด่เจ้าของนก ผู้โชคดีจะได้รับรางวัลต่างๆ ที่คณะกรรมการได้กำหนดขึ้น ต่อมาในการแข่งขันครั้งที่ ๓ ได้จัดให้มีการแข่งขันแกะเพิ่มขึ้นอีกกิจกรรมหนึ่ง และเมื่อการจัดการแข่งขันครั้งที่ ๕ ได้จัดให้มีกิจกรรมการแข่งขันนกกรงหัวจุก การแข่งขันชนโค และมีการประกวดดนตรีในงานดังกล่าว ต่อมาการจัดงานนกเขาชวาเสียงอาเซียนจังหวัดยะลาได้รับความสนใจ จากประชาชน ทั่วไปแพร่หลายมากขึ้น การจัดกิจกรรมในงานมีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การชนไก่ ตกปลา ประกวดพระเครื่อง ประกวดโป้ยเซียน ประกวดร้องเพลง ประกวดดนตรี การออกร้านแสดงสินค้าพื้นเมือง และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับนกเขาชวามากมาย
คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้กำหนดให้มีรางวัลต่าง ๆ แก่ผู้ชนะในการแข่งขันในแต่ละครั้ง เช่น รางวัลที่ ๑ เป็นรางวัลถ้วยทองคำจากท่านนายกรัฐมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในปีที่จัดการแข่งขัน ดังนี้
ครั้งที่ ๑ - ๓ ปี พ.ศ.๒๕๒๙ - ๒๕๓๑ ชิงถ้วยทองคำของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ครั้งที่ ๔ - ๗ ปี พ.ศ.๒๕๓๒ - ๒๕๓๕ ชิงถ้วยทองคำของ ฯพณฯ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
ครั้งที่ ๘ - ๑๐, ๑๓, ๑๔ ปี พ.ศ.๒๕๓๖ - ๒๕๓๘, ๒๕๔๑ , ๒๕๔๒ ชิงถ้วยรางวัลของพณฯนายชวน หลีกภัย
ครั้งที่ ๑๑ ปี พ.ศ.๒๕๓๙ ชิงถ้วยทองคำจากพณฯนายบรรหาร ศิลปอาชา
ครั้งที่ ๑๒ ปี พ.ศ.๒๕๔๐ ชิงถ้วยทองคำของ ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ

นอกจากนี้ยังมีรางวัลอื่น ๆ รองลงมา เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โทรทัศน์สี ตู้เย็น สร้อยคอทองคำ พัดลม และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งมีมูลค่าหนึ่งล้านบาท
เครดิต: http: //www.openbase.in.th/node/7382

ปัตตานีจัดพิธีวันเชงเม็งเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว อัญเชิญประทับเกี้ยวไปยังสุสาน



เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 ที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว มีกิจกรรมวันเชงเม้งเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว อัญเชิญองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว องค์จริงประทับเกี้ยวอัญเชิญมายังฮวงซุ้ย หรือสุสานที่ตำบลตันหยงลุโละ





ทั้งนี้ เป็นธรรมเนียมว่า ปีหนึ่งเจ้าแม่จะกลับมาที่หลุมฝังศพครั้งหนึ่ง บรรดาศิษย์นุศิษย์ก็จะมาร่วมกันทำพิธีไหว้ที่นี่ เพื่อแสดงความเคารพ แสดงความกตัญญูของลูกหลาน และผู้มีจิตศรัทธา ระลึกถึงคุณงามความดีของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ได้ปกปักรักษาลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข และมีความเจริญรุ่งเรือง


พิธีเริ่มขึ้นเวลา  04.35 น, อัญเชิญเกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกองเหนี่ยว จากนั้นเวลา 04.45 น. อัญเชิญเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวประทับเกี้ยว แล้วหามเกี้ยวเจ้าแม่ไปยังสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเวลา 05.05 น. จนถึงเวลา 07.00 น. จึงเป็นพิธีร่วมไหว้เจ้าแม่ร่วมกันที่สุสานเจ้าแม่ ที่บ้านกรือเซะ ต.ตันหยงลุโละ อ.เมืองตามลำดับ









สำหรับผู้อัญเชิญเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวประทับเกี้ยวและหามเกี้ยวออกจากศาลเจ้าในปีนี้ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายวีรนันทน์ เพ็งจันทร์  พร้อมด้วยผู้มีจิตศรัทธาร่วมหามเกี้ยวไปยังสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว บ้านกรือเซะ ต.ตันหยงลุโละ อ.เมือง จ.ปัตตานี















วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สวนสาธารณะสนามโรงพิธีช้างเผือก

สวนสาธารณะสนามโรงพิธีช้างเผือก ถนนพิพิธภักดี ข้างเทศบาลเมืองยะลาที่นี่เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของวัยรุ่นชาวยะลามานั่งเล่นริมน้ำกันชิวชิว เราสังเกตเห็นคือ ที่สวนนี่จะไม่มีวัยรุ่นหญิงชายมานั่งพลอดรักเป็นคู่นะคะ ส่วนใหญ่มานั่งคุย กินอะไรเล่นกันเป็นกลุ่มเพื่อนๆ กลุ่มครอบครัว ก็คือ ทุกกลุ่มต้องมีคนนั่งเล่นมือถือกันหมด ก็เป็นไปตามสภาพสังคมปัจจุบัน





มีจำหน่ายอาหารรสชาติอร่อย ราคาถูก

ที่นี่เราได้ทางอาหารมื้อแรกในยะลาค่ะ เป็นอาหารว่างที่นิยมขายกันที่สวนนี้เพราะเห็นหลายร้านมากนั่นคือ หัวเกรียบ หรือ ปะลอกรือโป๊ะ นั่นเอง ให้อธิบายง่ายๆก็เหมือนลูกชิ้นปลาทอดบ้าน รู้แต่ว่าเมื่อชิมแล้วก็ไม่ใช่ลูกชิ้นปลาค่ะ จะเป็นเหมือนแป้งข้าวเกรียบที่ทอดแล้วข้างนอกกรอบ ข้างในเหนียวๆจิ้มกับน้ำจิ้มเหมือนน้ำจิ้มลูกชิ้น อร่อยดีค่ะ
































วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

ประวัติ เรือกอและ

ประวัติ

เรือกอและเดิมเป็นเรือที่ชาวพื้นเมืองปัตตานีใช้เป็น พาหนะในการเดินทางและทำการประมงยามว่างจากการประกอบอาชีพในยามคลื่นลมสงบ และเวลามีงานนักขัตฤกษ์ของท้องถิ่นชาวเมืองปัตตานี จะนำเรือกอและเข้ามาใช้ประโยชน์ในการพักผ่อนหย่อนใจ โดยนำมาจัดแข่งขันพายเรือ เพื่อชิงความเป็นหนึ่งในด้านความเร็วที่จังหวัดปัตตานีในสมัยโบราณ มีหมู่บ้านหนึ่งเป็นหมู่บ้านที่ต่อเรือกอและและมีเรือกอและมากที่สุด จนชาวบ้านทุกคนเรียกว่าหมู่บ้านกำปงกอและ ซึ่งหมายถึงหมู่บ้านเรือกอและ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นหมู่บ้าน สะบารังหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กดาอาเนาะญอแปลว่า ตลาดมะพร้าวซึ่งเป็นชื่อที่ได้ใหม่เมื่อภายหลังจากความนิยมในการต่อเรือกอและลดน้อยลง ทั้งนี้เพราะในหมู่บ้านดังกล่าวอยู่ติดแม่น้ำปัตตานีจึงมีต้นมะพร้าวมากพอๆ กับมีเรือที่จอดอยู่ตามชายฝั่งตลอดแนวแม่น้ำ
สมัยก่อนที่จังหวัดปัตตานีมีการแข่งขันเรือกอและในวันฮารีรายอ และวันรายอฮัจยี เป็นประจำทุกปี  ต่อมาความนิยมในการต่อเรือกอและขยายไปเกือบทุกจังหวัดที่อยู่ใกล้ทะเลนับ ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของอ่าวไทย บริเวณอำเภอหัวไทร เขตจังหวัดนครศรีธรรมราชเรื่อลงมายังอำเภอเทพาจังหวัดสงขลา และอำเภอเมือง อำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอสายบุรี ของจังหวัดปัตตานี ตลอดอีกหลายอำเภอในจังหวัดนราธิวาส (มัลลิกา คณานุรักษ์. 2544, 71 )


เรือกอและเป็นเรือประมงที่ใช้ ในแถบจังหวัดภาคใต้ตอนล่างมีลักษณะเป็นเรือยาวที่ต่อ ด้วยไม้กระดานโดยทำให้ส่วนหัวและท้ายสูงขึ้นจากลำเรือให้ดูสวยงาม นิยมทาสีแล้วเขียนลวดลายด้วยสีฉูดฉาดเป็นลายไทยหรือลายอินโดนีเซีย ซึ่งนำมาประยุกต์ให้เหมาะกับลำเรือ เรือกอและมี ๒ แบบคือ แบบหัวสั้นและแบบหัวยาว ขนาดของเรือแบ่งเป็น ๔ ขนาด โดยยึดความยาวของลำเรือเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง คือ ขนาดใหญ่ยาว ๒๕ ศอก ขนาดกลางยาว ๒๒ ศอก ขนาดเล็กยาว ๒๐ ศอก และขนาดเล็กมากเรียกว่า ลูกเรือกอและยาว ๖ ศอกโดยประมาณ และด้านนอกซึ่งค่อนขึ้นไปทางขอบเรือ ทำเป็นขอบนูนออกมาข้างนอก ลักษณะเป็นกันชนของเรือยาวตลอดลำเรือเรียกว่า ปาแปทูวอที่ตอนล่างของปาแปทูวอทำรอยแซะเนื้อไม้ด้วยกบให้เป็นแนวยาวตลอดลำเรือเรียก ว่า กอมาเรือทั้งลำ แบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนหัวเรียกว่า ลูแวส่วนท้ายเรียกว่า บูเระแตถ้าแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหัวเรียกว่า ปาลอส่วนกลาง (ลำเรือ) เรียกว่า ตือเราะส่วนท้ายเรียกว่า ปูงง

ร้าน Living Room Homemade Cafe

ที่นี่มีร้านสวยๆให้นั่งด้วยนะคะ  เป็นร้านที่สวยลูกค้าเต็มร้านเชียว ร้านก็น่านั่งดีค่ะ เครื่องดื่มอาหารทุกอย่างอร่อย ชื่อร้าน Living Room Homemade Cafe ถนนสุขยางค์ ตรงข้ามโรงเรียนนิบงชนูปภัมภ์ขอลงรูปรัวๆเลยนะคะ  มาจังหวัดยะลาแล้วต้องไม่พลาดแวะชวนชิมกับ ร้านLiving Room Homemade Cafe  ร้านนี้ด้วยนะคะ








































ที่อยู่  พิพิธภักดี ต.สะเตง จ.ยะลา, อ.เมืองยะลา, , 95000
Phiphit Phakdi, Sateng, Wat Yala, Mueang Yala, 95000
เบอร์โทร. 073-222-457
เหมาะสำหรับ ครอบครัว ลำลอง
เวลาเปิด-ปิด จ.-อา.: 11:30-20:30 ปิดบริการทุกวันจันทร์
ข้อมูลอื่นๆ
 Wi-Fi
เว็บไซต์ร้านอาหาร

http://www.facebook.com/Livingroomhomemadecafe

กลุ่มแม่บ้านตำบลยะต๊ะ รวมกลุ่มย้อมผ้าสีสมุนไพรจากวัตถุดิบในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างรายได้หลังกรีดยาง


นางสาวสีตีคอตีเย๊าะ  ยะมาแล เกษตรประจำตำบลยะต๊ะ อำเภอ  รามัน จังหวัดยะลา นำผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ ที่บ้านเลขที่ 2/1 หมู่ 3 บ้านตะโร๊ะยามิง ตำบลยะต๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นที่ตั้งกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรย้อมผ้าสีสมุนไพร  โดยมี นางสารีเพาะ เด็งสาแม ประธานกลุ่มฯ และสมาชิกอีก 20 คน ร่วมกันดำเนินการ 



กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรย้อมผ้าสีสมุนไพร โดยการนำพืชสมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น  ใบมังคุด ใบลองกอง ใบกระท้อน เปลือกหมาก เปลือกขนุน และขมิ้น มาทำกิจกรรมย้อมสีผ้า จนสามารถผลิตผ้าย้อมสีสมุนไพรจากธรรมชาติ ทั้งนี้ยังได้มีการตัดเย็บเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เสื้อ,กางเกงกระโปรงผ้าคลุมผมสตรีผ้ากันเปื้อนหมวกรองเท้าสำหรับใส่ในบ้านกระเป๋าใส่เหรียญ และกระเป๋าใส่เครื่องสำอาง เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ และต่อยอดในการสร้างตลาดการส่งจำหน่าย จนสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพให้สมาชิกในชุมชนให้มีรายได้อย่างสม่ำเสมอ



ทั้งนี้สมาชิกกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรย้อมผ้าสีสมุนไพรได้ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินงาน โดยการลดรายจ่ายจากการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่น และเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่ม ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของกลุ่มฯ   สามารถจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำการตัดเย็บเป็นกระเป๋าใส่เหรียญ จะอยู่ในราคา 19 - 40 บาทกระเป๋าใส่เครื่องสำอาง จะอยู่ในราคา 30 - 80 บาทผ้ากันเปื้อน หมวก ราคาอยู่ชุดละ 100 บาทรองเท้าสำหรับใส่ในบ้าน ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 49 - 120 บาท ส่วนเสื้อ กางเกง กระโปรง และผ้าคลุมผมสตรี ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 100 บาทเป็นต้นไปแล้วแต่เนื้อผ้าและขนาด ผู้ที่สนใจสั่งซื้อสามารถจะติดต่อสอบถามได้ที่ นางสารีเพาะ เด็งสาแม หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ 082-8323287 หรือช่องทาง Facebook : Ummee Desinge และช่องทาง Line ID : Sarepa223