‘ปัตตานีบ้านฉัน’
วันนั้นเป๊าะกำลังทำสวนอยู่กับภรรยา
(นางสาลาเมาะ ปูเต๊ะ) บริเวณประตูน้ำบ้านบาเลาะ ต.ปะเสยะวอ ซึ่งเป็นป่าทึบ
ก็มีคุณหญิงคนหนึ่งมาบอกว่า "ในหลวง"
ต้องการพบตัวแต่ภรรยาไม่กล้าไปพบจนกระทั่งเป๊าะเลี้ยงโคกลับมาบ้าน ก็มีนายตำรวจมาตามเป็นครั้งที่สอง
เป๊าะตกใจมากว่าตำรวจมาตามเรื่องอะไร
เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด
จนกระทั่งสื่อสารกันเข้าใจว่าในหลวงต้องการมาสร้างฝายกั้นน้ำคลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ
ต.แป้น อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อช่วยเหลือเรื่องแหล่งน้ำแก่ชาวบ้านในการทำการเกษตร
เป๊าะ จึงกล้าไปพบ
แต่ตอนนั้นเป๊าะ
ยังไม่ค่อยเชื่อว่าพระองค์ท่านจะเสด็จเข้ามาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้
จึงคิดว่าคนที่มาบอกโกหก ขนาดมาพบพระองค์แล้ว เป๊าะก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นในหลวงจริงหรือเปล่า
จึงแอบหยิบเงินใบละ 100 บาท กับใบละ 20 บาท ขึ้นมาดู
จึงแน่ใจว่าเป็นพระองค์เสด็จฯ มาจริงๆ
ตอนแรกที่พบในหลวง
เป๊าะก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ เพราะตอนนั้นนุ่งโสร่งตัวเดียว เสื้อก็ไม่ได้ใส่ด้วย
แต่พอเข้าไปใกล้ๆ ในหลวงก็ตรัสเป็นภาษามลายูว่า จะสร้างคลองชลประทานให้
หลังจากนั้นในหลวงท่านก็ทรงสอบถามเส้นทางการขุดคลองสายทุ่งเค็จ ว่ามีเขตติดต่อที่ไหนบ้าง
จึงได้เล่าให้ในหลวงทรงทราบว่าคลองเส้นนี้ทางเหนือจะติดเขตพื้นที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส
ในหลวงตรัสถามว่าหากออกไปทางทะเลจะมีเกาะกี่เกาะ
เป๊าะก็ตอบพระองค์ไปว่ามี 4 เกาะ ในหลวงจึงทรงเอาแผนที่ที่นำติดตัวมาออกมาดูอีกครั้ง และตรัสชมว่า
วาเด็ง เป็นคนรู้พื้นที่จริง...เหมือนกับชาวบ้านอีกหลายพื้นที่ที่พระองค์เคยเข้าไปช่วยเหลือมาแล้ว
"พระองค์ยังตรัสด้วยว่า
"ไม่ว่าจะไปช่วยใครที่ไหนก็ต้องถามเจ้าของพื้นที่ก่อน...เพราะชาวบ้านจะรู้จริงกว่าคนอื่น"
วันรุ่งขึ้นข้าราชการที่มารับเสด็จก็ต้องตกตะลึงไปตามๆ
กัน เมื่อพระองค์ทรงรับสั่งให้เป๊าะพายเรือให้พระองค์เพื่อทำการสำรวจคลองสายทุ่งเค็จ
พระองค์มีพระราชดำรัสถาม พร้อมเปิดแผนที่เพื่อให้รู้ว่าจะสร้างชลประทานอย่างไร
ตอนพายเรืออยู่
ในหลวงตรัสด้วยว่า
"ให้วาเด็งทำตัวให้สบาย...มีอะไรที่ชาวบ้านเดือดร้อนก็ให้เล่ามาตามความจริง"
เป๊าะจึงบอกในหลวงว่าเมื่อถึงเวลาหน้าฝน
น้ำจะท่วม ทำนาไม่ได้ เมื่อถึงหน้าแล้ง ก็ทำนาไม่ได้
เพราะไม่มีน้ำทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน
พระองค์ก็ตรัสกับเป๊าะอย่างไม่ถือพระองค์และตรัสถามอีกว่า
ชาวบ้านทำการเกษตรอะไรบ้าง เป๊าะจึงตอบพระองค์ไปว่าชาวบ้านไม่เดือดร้อนอะไร
ทุกคนทำการเกษตรตามวิถีชีวิตของคนชนบท คือ ปลูกพืชผักสวนครัว
และทำสวนไว้กินกันทุกบ้าน
จากนั้นในหลวงคงจะทรงลองใจเป๊าะ
จึงตรัสถามขอที่ดินเพื่อทำโครงการพระราชดำริ
ด้วยความปลาบปลื้มเป๊าะจึงขอยกที่ดินถวายให้พระองค์ทันที ในหลวงจึงแย้มพระสรวล
และมีพระราชดำรัสว่าให้เป๊าะเป็น "พระสหาย" ตั้งแต่บัดนั้น
ในหลวงตรัสเรื่องนี้ว่า
"วาเด็งเป็นคนซื่อตรง...จึงขอแต่งตั้งให้วาเด็งเป็นเพื่อนของในหลวง"
พร้อมทรงชวนให้เป๊าะและภรรยาเดินทางไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ และเมื่อพระองค์เสด็จฯ
มาสามจังหวัดก็เรียกให้เข้าเฝ้าที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ทุกครั้ง
ต่อมาในหลวงทรงสงสารจึงมอบเงินให้เป๊าะครั้งละหลายหมื่นบาท
หากไม่ได้เสด็จฯ มาก็ทรงฝากเงินมากับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แทบทุกครั้ง
ในหลวง
ตรัสว่าให้วาเด็งหยุดทำงานได้แล้ว เพราะแก่แล้ว อายุมากแล้ว ทรงเป็นห่วงสุขภาพ
กลัวว่าทำงานหนักจะไม่สบาย
เป๊าะก็นั่งทบทวนคำตรัสของพระองค์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มด้วยความภูมิใจกับคำว่า
"พระสหายแห่งสายบุรี"
(เรื่องเล่าพอสังเขป วัสลาม ค่ะ) — รู้สึกมองทางไหนมีแต่คนใส่ชุดดำ
เศร้าใจค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น