วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ภาพมุมสูงงานสมโภชหลักเมืองและงานกาชาดยะลา 59

ภาพงานสมโภชหลักเมืองและงานกาชาด จ.ยะลา ประจำปี 2559 ซึ่งได้ถ่ายในมุมสูง

ขอบคุณภาพสวยๆจากโดรนของ เจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจยะลา ขอบคุณนะครับ (เรื่องดีดียังมีในยะลาแชร์กันเยอะๆนะครับ)
‪#‎ยะลาใต้สุดสยาม‬ เมืองงามชายแดน#





ปาตานีบ้านฉัน...

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วิถีชีวิตความหลากหลายในสามจังหวัดชายแดนใต้

สังคมไทยแต่ละภูมิภาคต่างดำรงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่แตกต่างกันไป เช่นเดียวกับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขตลอดมา มีทั้งชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม  และชาวไทยเชื้อสายจีน นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของพื้นที่ ที่แตกต่างจากสังคมไทยในภูมิภาคอื่นๆ หลายประการ


การแต่งกายด้วยชุดที่สวยงามของสาวมุสลิมในพื้นที่

ร่วมแรงร่วมใจกวนอาซูรอในโรงเรียน

    สังคมในสามจังหวัดชายแดนใต้ที่ผ่านมา เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสงบสุข  อยู่ร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจ ดำเนินวิถีชีวิตร่วมกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด ด้านศิลปวัฒนธรรมของสังคมสามจังหวัดชายแดนใต้ ก็มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมก็อย่างกลมกลืน ชาวไทยพุทธมักจะร่วมงานประเพณีต่างๆ ของชาวไทยมุสลิม เช่น กวนอาซูรอของชาวมุสลิม การแต่งกาย การจัดประเพณีงานแต่งงาน การร่วมบริจาคทำบุญเพื่อพัฒนามัสยิด ซึ่งเป็นศาสนสถานศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยมุสลิม ชาวไทยมุสลิมก็เข้าร่วมประเพณีวัฒนธรรมงานแต่งงาน งานบุญงานบวชของชาวไทยพุทธ ร่วมแรงร่วมใจพัฒนาหมู่บ้าน พัฒนาวัดในพื้นที่ เป็นต้น สำหรับในด้านอาหารการกินก็มีให้เลือกรับประทานอย่างหลากหลาย ทั้งอาหารไทย อาหารจีน อาหารมุสลิม อาหารมุสลิมที่มีชื่อของสามจังหวัดชายแดนใต้ เช่น มะตะบะ ตือโบ๊ะ ไก่กอและ ก็เป็นอาหารที่นิยมของผู้คนในพื้นที่ จากความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรมของคนในสามจังหวัดชายแดนใต้ ทำให้สามจังหวัดชายแดนใต้เป็นพื้นที่ที่น่าสนใจสำหรับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ถึงแม้ว่า จะเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงในพื้นที่อยู่


บรรยากาศความรักใคร่สามัคคีของชุมชนในพื้นที่บ้านทรายขาว 
ต.ทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี

      อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าตลอด 10 ปีที่ผ่าน เหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในพื้นที่ ทำให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินอย่างประเมินค่ามิได้ แต่วิถีชีวิตของคนในพื้นที่ทั้งชาวไทยพุทธ มุสลิม คนไทยเชื้อสายจีน ก็ยังคงมีความรักความผูกพัน สมัครสมานสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลกันซึ่งกันอย่างแน่นแฟ้นต่อไป รวมถึง ร่วมมือกันเพื่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง โดยหวังว่า จะนำความสงบสุขในพื้นที่จะกลับมาอีกครั้ง เพื่อให้เป็นสามจังหวัดชายแดนใต้ที่ดึงดูดผู้คนมาท่องเที่ยวและและมาเยี่ยมด้วยความสบายใจ.

ปาตานีบ้านฉัน..
ที่มา เว็บบล็อก คุณครูศิริชัย นามบุรี

"รอมฎอน" ใกล้เวียนมาอีกครั้ง


หลายคนที่นับถือต่างศาสนา คงสงสัยไม่ใช่น้อยว่า เดือนรอมฎอน ตามหลักศาสนาอิสลาม มีความสำคัญอย่างไร นอกเหนือไปจาก เป็นเดือนแห่งการถือศีลอดของชาวมุสลิมแล้ว รอมะฎอน หรือ รอมฎอน คือ เดือนที่ 9 ของปฏิทินฮิจญ์เราะหฺ หรือปฏิทินอิสลาม เป็นเดือนที่มุสลิมถือศีลอดทั้งเดือน ด้วยเหตุนี้จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า เดือนบวช เป็นเดือนที่สำคัญที่สุดเดือนหนึ่ง เนื่องจากชาวมุสลิมจะต้องปฏิบัติเพราะเป็นศาสนบัญญัติ ด้วยการงดอาหารทุกชนิด รวมถึงน้ำดื่ม ในช่วงเวลา พระอาทิตย์ขึ้น-พระอาทิตย์ตกดิน รวมทั้ง ให้อดทนต่อสิ่งรอบตัว หยุดทำความชั่ว และออกห่างจากสิ่งหรือคนที่จะชักนำเราไปสู่การฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้าไม่ว่าจะโดยมือ(ทำร้ายหรือขโมย) เท้า (เดินไปสู่สถานที่ต้องห้าม) ตา (ดูสิ่งลามก) หู (เช่นการฟังสิ่งไร้สาระ ,ฟังเรื่องชาวบ้านนินทากัน) ปาก (การนินทาว่าร้ายคนอื่น โกหก โป้ปด)

เดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่จูงใจให้ผู้ศรัทธาทำความดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดือนอื่นๆ เน้นการบริจาคทาน หัวใจจะจดจ่ออยู่กับการแสดงความเคารพภักดี (อิบาดะฮฺ) ต่ออัลลอฮฺและหันไปหาพระองค์มากขึ้น เรียกได้ว่า รอมฏอนเป็นเดือนแห่งการอบรมจิตใจ นั่นเอง เพราะจะไม่ทำสิ่งไร้สาระ จะทำอะไรต้องระมัดระวังทุกการกระทำและคำพูด มิเช่นนั้น ก็จะเป็นการถือศีลอดที่ได้แค่เพียง การอดอาหาร เท่านั้นเอง รวมทั้งจะได้รับรู้ความยากลำบากคนที่ยากไร้ด้วย

นอกจากถือศีลอด และทำทานแล้ว รอมฎอนยังเป็นเดือนสุดประเสริฐ ที่มีการประทานคัมภีร์อัล-กรุอาน (พระวัจนะของพระเจ้า) ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญชีวิตของมุสลิมทุกคน และเป็นเดือนแห่งความเมตตา ประตูสวรรค์เปิด ประตูนรกปิด เดือนนี้จึงหมั่นทำความดีให้มากๆมุสลิมทุกคนที่บรรลุนิติภาวะแล้ว (อากิลบาเล็ฆ) มุสลิมจึงต้องอ่านอัลกุรอาน เพื่อศึกษาถึงสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์รู้ว่าการเป็นอยู่ในโลกนี้และโลกหน้าจะเป็นอย่างไร และจะต้องทำตัวอย่างไรบ้าง
(เรื่องน่ารู้ในศาสนาอิสลาม)

#ปาตานีบ้านฉัน#

ผู้นำศาสนา 8 องค์กร ร่วมแถลงการณ์จัดกิจกรรม “รวมพลัง สร้างสันติสุข” เนื่องในเดือนรอมฎอน ปีฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) 1437


วันนี้ (30 พ.ค. 59) ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี บาบออับดุลการีม นาคนาวา ประธานสภาอุลามาอปัตตานี พร้อมด้วยนายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี นายซาฟีอี เจ๊าะเลาะ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส ได้ร่วมแถลงข่าวการจัดกิจกรรม “รวมพลัง สร้างสันติสุข” เนื่องในเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) 1437 หลังจากได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน.ภาค 4 สน. หน่วยทหาร ผู้นำศาสนา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการจัดงาน ที่ห้องประชุม กอ.รมน.ภาค 4 สน.


บาบออับดุลการีม นาคนาวา ประธานสภาอุลามาอปัตตานี ในนามคณะผู้นำศาสนา กล่าวว่า ทุกองค์กร ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา สภาอุลามาอฺฟาฏอนีย์ดารุสสลามมูลนิธิ, สถาบันการศึกษาปอเนาะ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สมาคมโรงเรียน เอกชนสอนศาสนาอิสลาม ชมรมตาดีกาปัตตานี และชมรมมุสลิมภราดรภาพ ได้จัดกิจกรรม “รวมพลัง สร้างสันติสุข” เนื่องในเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1437 ซึ่งผู้นำศาสนาทุกองค์กรจะร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ เชิญชวนพี่น้องมุสลิมให้ปฏิบัติศาสนากิจด้วยความศรัทธา ลด ละ เลิก สิ่งเสพติดและอบายมุขทั้งปวงตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด โดยคาดหวังให้พี่น้องสื่อมวลชนช่วยเป็นสื่อกลางในการสร้างการรับรู้ นำไปสู่การสร้างความเข้าใจ ทำให้เกิดความเชื่อมั่น และกระแสตอบรับอย่างกว้างขวาง ทำให้ถนนสายรอมฎอนในปีนี้ เป็นเส้นทางที่บริสุทธิ์ เพื่อมุ่งสู่ปลายทางแห่งสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป

นายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า เนื่องในโอกาสที่เดือนรอมฎอนอันประเสริฐ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1437 จะเวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่งในปีนี้ ในนามผู้แทนองค์กรศาสนาฯ ขอถือโอกาสนี้เชิญชวนให้พี่น้องมุสลิมทั้งหลาย ร่วมตั้งเจตนาที่จะปฏิบัติศาสนากิจในเดือนอันสำคัญนี้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจและร่วมกันรักษาคุณค่า และความบริสุทธิ์ของเดือนรอมฎอนด้วยการปฏิบัติดังนี้

โดยขอเชิญร่วมละหมาดฮายัต เพื่อขอพรจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ให้ประทานความสงบสุขปราศจากเหตุร้ายรุนแรง สามารถปฏิบัติภารกิจในเดือนสำคัญอย่างราบรื่น ในวันที่ 1 มิถุนายน 2559 เวลา 09.00 น. ณ มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี โดยมีผู้นำศาสนาและประชาชนร่วมพิธีกว่า 6,300 คน ประกอบด้วย สภาอุลามาปัตตานี 250 คน จังหวัดปัตตานี 1,700 คน จังหวัดยะลา 800 คน จังหวัดนราธิวาส 800 คน และจังหวัดสงขลา 400 คน สมาคมสถาบันการศึกษาปอเนาะ 5 จังหวัดชายแดนใต้ 1,200 คน สมาคมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม 900 คน มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี 250 คน


และร่วมกันถือศีลอดด้วยความศรัทธาตลอดเดือนรอมฎอน ปฏิบัติตามแบบอย่างของศาสดา ด้วยการละหมาดในยามค่ำคืน อ่านอัลกุรอาน และปฏิบัติอื่นๆ ตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด ร่วมกันดูแลครอบครัวและบุคคลที่ตนรัก ให้มั่นคงอยู่ในแนวทางของศาสนา ร่วมกัน ลด ละ เลิก สิ่งเสพที่เป็นโทษ ตลอดจนอบายมุขทั้งปวงตลอดทั้งเดือนรอมฎอน พร้อมขอความร่วมมืองดเว้นการเปิดร้านจำหน่ายอาหารในเวลากลางวัน และไม่จำหน่ายประทัด หรือสิ่งที่เป็นอันตราย สร้างความเดือดร้อนและรบกวนผู้อื่น และร่วมกันปฏิเสธการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ เพื่อคืนความสุขให้ประชาชน และคืนสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกันสนับสนุนนโยบายแนวทางของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยสันติวิธี และการพูดคุยสันติสุขกับผู้เห็นต่างทุกๆ กลุ่ม

ในเดือนอันเป็นมหามงคลนี้ ทางตนเองพร้อมคณะ ขอวิงวอนความเมตตาจากอัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้า ทรงประทานความรัก ความสามัคคี ความร่มเย็นเป็นสุข และดลบันดาลให้พี่น้องมุสลิมทุกท่าน มีสุขภาพกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ มีสุขภาพจิตที่เข้มแข็ง ประกอบภารกิจการถือศีลอดในเดือนอันประเสริฐนี้ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ

————————–

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แซเราะฮ์รูเมาะฮ์ รายอกีตอ





โครงการเยี่ยมบ้านพ่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559 ซึ่งจัดอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4  โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่  24-26  พฤษภาคมที่ผ่านมา  สำหรับการจัดงานเยี่ยมบ้านพ่อฯในปีนี้ ถือเป็นปีมหามงคลที่ต่อเนื่องกัน นับเป็นมหามงคลสมัยพิเศษยิ่ง เนื่องในปีพุทธศักราช 2559 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา89 พรรษา และเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ครบ 70 ปี และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา


วัตถุประสงค์การจัดงานเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรชาวจังหวัดนราธิวาส  ในวโรกาสเสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ อีกทั้งพระราชทานความช่วยเหลือแก่พสกนิกรผู้ยากไร้ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ จนเป็นที่ประจักษ์และประทับอยู่ในใจพสกนิกรตลอดมา


สำหรับกิจกรรมภายในงานมีการลงนามถวายพระพร และสดุดีเฉลิมพระเกียรติถวายพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นอกจากนี้ยังมี กิจกรรมการเสวนาเรื่อง ตามรอยพระยุคลบาท กิจกรรมการจัดแสดงนิทรรศการพระราชกรณียกิจ และแนวพระราชดำริด้านต่างๆ จาก 13 อำเภอและส่วนราชการจังหวัด การจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ การสาธิตและจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มศิลปาชีพ  นิทรรศการหลักการทรงงานของในหลวง กิจกรรมการแข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการ  


การประกวดขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์และเพลงชาติ  กิจกรรมแสดงเทิดพระเกียรติจากนักเรียนในพื้นที่ และชมรม To be Number One  กิจกรรมการบริการทางการแพทย์เคลื่อนที่  กิจกรรม ชมบ้าน....รายอกีตอ นั่งรถรางเพื่อเยี่ยมชมทัศนียภาพของบริเวณเขตพระราชฐานชั้นนอก พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์  กิจกรรมปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ปั่นเยี่ยมบ้านพ่อ  และกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติถวายเป็นพระราชกุศล

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สาวยะลาโร่แจ้งตำรวจ ถูกวัยรุ่นหื่นรุมโทรมต่อหน้าแฟนหนุ่ม

สาววัย 25 เข้าแจ้งความ ถูกกลุ่มวัยรุ่นไม่ต่ำกว่า 6 คน ลากไปรุมโทรมต่อหน้าแฟนหนุ่ม หลังขับ จยย.เข้าไปเติมน้ำมันในปั้มใกล้ตัวเมืองยะลา

คลิ๊กรับชมวีดีโอ

นางสาวเอ (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี ได้เข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองยะลา พร้อมกับนำไปตรวจหาหลักฐานยังที่เกิดเหตุ บริเวณฝ่ายกักน้ำแก้มลิง ต.พร่อน อ.เมือง จ.ยะลา หลังจากที่เมื่อคืนที่ผ่านมา เวลาประมาณ 02.00 น. ได้ถูกกลุ่มวัยรุ่นฉุดกระชาก บังคับไปข่มขืนที่บริเวณดังกล่าว
ภายหลังรับแจ้งเหตุ พ.ต.ท.อุทัย การะเกตุ รอง ผกก.สอบสวน 
สภ.เมืองยะลา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานที่ 10 ยะลา ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ / โดยนางสาวเอ เล่าว่า หลังเลิกงาน ได้ขับรถจักรยานยนต์ไปบ้านแฟน จากนั้น ช่วงเวลาประมาณ 02.00 น. จึงได้เดินทางกลับมายังบ้านเช่าในตัวเมืองยะลา โดยมีแฟนหนุ่มขับรถจักรยานยนต์มาส่ง และตนเองซ้อนท้ายมา จากนั้นได้แวะเข้าไปเติมน้ำมันที่ปั้ม ปตท.ท่าสาป ทางเข้าตัวเมืองยะลา และได้พบกับกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 10 คน นั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าร้านสะดวกซื้อภายในปั้ม โดยกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว ได้เพ่งมองมาที่ตนเอง ตนจึงได้บอกกับแฟนให้รีบออกมา และกลับบ้านเช่า แต่เมื่อออกจากปั้มน้ำมันเพียงไม่นาน กลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว ก็ขี่รถจักรยานยนต์ 3 คันตามประกบรถจักรยานยนต์ที่ตนกับแฟนขี่มา จากนั้นกลุ่มวัยรุ่นได้จอดรถดักหน้า ก่อนที่จะลงมาดึงเอากุญแจรถจักรยานยนต์ของตนและแฟนไป แล้วกลุ่มวัยรุ่นก็บอกว่าให้กลับเข้าไปคุยในปั้ม ซึ่งตนเองและแฟนก็บอกว่า จะเอาอะไรก็เอาไป แต่ไม่มีเงิน จากนั้นกลุ่มวัยรุ่น ก็บอกว่า ถ้าไม่มีเงิน ก็เอาผู้หญิง แล้วก็ลากตนเองลงจากรถ ขณะที่วัยรุ่นอีกกลุ่ม ก็เข้าไปทำร้ายแฟน และแยกตนเองกับแฟนออกจากกัน

จากนั้น กลุ่มวัยรุ่นเกือบ 10 คนได้พาตนและแฟน มายังบริเวณที่เกิดเหตุ คือ ฝายแก้มลิงกักเก็บน้ำ ต.พร่อน อ.เมืองยะลา โดยกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเฝ้าดูแฟนของตนเอง อีกกลุ่มประมาณ 6 คนก็เข้ามาลากตนเองไปรุมทำร้ายร่างกาย และกระทำชำเราจนครบทั้ง 6 คน จากนั้นเวลาประมาณ 04.00 น. กลุ่มวัยรุ่นทั้งหมด ได้ปล่อยให้ตนเองและแฟน ออกจากจุดที่เกิดเหตุ ต่อมา ตนจึงได้เดินทางไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ / ขณะเดียวกันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบกางเกงชั้นในของผู้หญิง 1 ตัว ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่เมื่อสอบถามผู้เสียหาย บอกว่าไม่ใช่ของตนเอง จึงเชื่อว่ากลุ่มวัยรุ่น คงใช้สถานที่บริเวณนี้ก่อเหตุกับเหยื่อมาแล้วหลายราย เนื่องจากพบว่า มีการเสพยาเสพติด และพบหลักฐาน บางอย่างในจุดที่เกิดเหตุ ซึ่งต้องให้ทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานนำไปตรวจสอบอีกครั้ง.

ที่มา: เรื่องเด่นเย็นนี้ ช่อง3

ผู้นำศาสนา 5 จชต.พอใจ กฟผ.ชี้แจงชัดเจนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ ไม่ย้ายกุโบร์-มัสยิด

ผู้นำศาสนาแสดงความพอใจที่ กฟผ. ชัดเจนเรื่องการพัฒนาโรงไฟฟ้าในพื้นที่ และไม่ย้ายกุโบร์ มัสยิด ด้าน กฟผ. ยืนยันพร้อมจัดทำธรรมนูญร่วมกับชุมชนในเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชน เพื่อสร้างความมั่นใจ ในการดำเนินงานตลอดระยะเวลาโครงการ รวมทั้งพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของภาคใต้ตอนล่าง

วันนี้ (28 พฤษภาคม 2559) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ชี้แจงข้อมูลการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าเทพา ต่อคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการอิสลาม 5 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา สตูล กว่า 400 คน ในการจัดเสวนา หัวข้อ ก้าวไปด้วยกันกับโรงไฟฟ้าเทพา สู่การพัฒนาภาคใต้ที่มั่นคงโดยมีนายสหรัฐ บุญโพธิภักดี รองผู้ว่าการกิจการสังคม กฟผ. นายพล คงเสือ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า กฟผ. นายวีระชัย ยอดเพชร หัวหน้าโครงการเตรียมงานพัฒนาโรงไฟฟ้าเทพา กฟผ. นายนฤมิต คินิมาน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อมโครงการ กฟผ. เป็นผู้ร่วมเสวนา และนายอับบาส บิณอิบรอฮิม ประธานศูนย์ประสานงานญาลันนันบารู อ.เทพา จ.สงขลา เป็นผู้ดำเนินการเสวนา โดยมีนายดลเดช พัฒนรัฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา และ พล.ต.ต. สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับและเป็นประธานเปิดการเสวนา ณ ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา

นายดลเดช พัฒนรัฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา กล่าวเปิดการเสวนาว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่ทุกท่านจะได้รับฟังข้อมูลโครงการโรงไฟฟ้าเทพา อ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งจะเป็นโรงไฟฟ้าใหม่อีกแห่งหนึ่งในภาคใต้ การเสวนาในวันนี้ จะเป็นช่องทางที่จะให้ทุกท่านสามารถนำเสนอข้อคิดเห็น และข้อห่วงกังวลต่างๆ เพื่อให้เกิดการดำเนินการพัฒนาโรงไฟฟ้าเทพาเป็นไปอย่างสมบูรณ์ และมีการดูแลสังคม และชุมชนในภาคใต้ของเราอย่างดีที่สุดต่อไป ทั้งนี้ พลังงานไฟฟ้ามีความสำคัญมากต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความสะดวกสบายของประชาชนใน 5 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพเหมาะสมแก่การพัฒนา
นายสหรัฐ บุญโพธิภักดี กล่าวถึงความจำเป็นของการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าเทพา ว่า ประเทศไทยมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3-4 ทุกปี โดยเฉพาะภาคใต้ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงกว่าภาคอื่นถึงร้อยละ 5 ในขณะที่ภาคใต้ต้องรับไฟฟ้าจากภาคกลางมาช่วยเสริมส่วนหนึ่ง จึงควรต้องมีแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักในพื้นที่ ยืนยันว่าโรงไฟฟ้าเทพาจะเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดที่ทันสมัย ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน นอกจากนี้ ชุมชนจะต้องได้รับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเต็มที่ และมีคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน โดยเห็นได้จากโรงไฟฟ้าถ่านหินของ กฟผ. ที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ในปัจจุบันมีการติดตั้งเทคโนโลยีกำจัดมลสารที่ทันสมัย จึงมีคุณภาพอากาศดีกว่าค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งการดูแลชุมชน ทั้งในเรื่องการสร้างงานและอาชีพอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น ที่โรงไฟฟ้าสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนและพื้นที่เกษตรกรรมได้อย่างกลมกลืน

นายพล คงเสือ กล่าวว่า การพัฒนาโรงไฟฟ้าของ กฟผ. จะเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องได้รับการยอมรับจากชุมชนเป็นสำคัญ ที่ผ่านมา กฟผ. จึงเดินหน้าสร้างความเข้าใจตั้งแต่เริ่มสำรวจโครงการ จนกระทั่งปัจจุบัน และยึดถือโจทย์ของรัฐบาล ในการพัฒนาโรงไฟฟ้า 3 ข้อ คือ ประเทศชาติจะต้องได้ประโยชน์ กฟผ. ต้องใช้เทคโนโลยีดีที่สุด ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนในพื้นที่ต้องได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ กฟผ. จะรับคนในพื้นที่เข้าทำงานให้มากที่สุด โดยเฉพาะในระดับปฏิบัติการ อีกทั้งโรงไฟฟ้าเทพา ได้ออกแบบติดตั้งอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งสามารถรองรับเชื้อเพลิงชีวมวลได้ 215 ตันต่อวัน ซึ่งชุมชนจะได้รับประโยชน์จากรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง โดย กฟผ. พร้อมพูดคุยกับชุมชนในการจัดทำธรรมนูญร่วมกันต่อไป

นายวีระชัย ยอดเพชร กล่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าเทพา จะเป็นโรงไฟฟ้าสีเขียวที่จะมีแหล่งท่องเที่ยว เพื่อพักผ่อนหย่อนใจบนพื้นที่เกือบ 600 ไร่ ให้ชุมชนได้มาใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่ผ่านมา กฟผ. มุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจกับชุมชน อ.เทพา และขอยืนยันว่า กฟผ.ไม่มีการย้ายมัสยิดหรือกุโบร์อย่างแน่นอน
ด้านพลตำรวจตรี สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเสวนารับฟังในครั้งนี้ ทำให้ผู้นำศาสนาหมดความกังวลใจ และเชื่อมั่นว่า กฟผ. จะไม่มีการย้ายกุโบร์ (สุสาน) และมัสยิดในพื้นที่อย่างแน่นอน ส่วนในเรื่องอื่นๆ เช่น การบริหารกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่ การจ้างงาน ขอฝากให้ กฟผ. ให้ความสำคัญกับชุมชนในพื้นที่ที่จะต้องได้รับประโยชน์ก่อน และควรจะต้องมีธรรมนูญร่วมกันเพื่อเป็นหลักประกันว่า กฟผ. จะดำเนินการ ซึ่งจะต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่อ

ในช่วงท้ายของการเสวนา นายสหรัฐ บุญโพธิภักดี ได้กล่าวขอบคุณผู้นำศาสนาที่ให้โอกาส กฟผ. มาชี้แจง ซึ่งความสุขของคนไทย ไม่ได้มาจากการมีไฟฟ้าใช้อย่างมั่นคงเท่านั้น ชุมชนหรือผู้ที่อยู่รอบโรงไฟฟ้าจะต้องมีความสุขด้วย โรงไฟฟ้าและชุมชนจะต้องก้าวไปข้างหน้าและเติบโตไปด้วยกัน

คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลาและคณะ เดินทางเข้าร่วมกิจกรรมลงนามถวายพระพร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อแสดงความจงรักภักดี


พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2559 เวลา 14.30 น. ประธานและคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา รวมทั้งผู้นำศาสนา กว่า 60 คน ได้เข้าพบและเยี่ยมคำนับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ณ บ้านรับรองเกษะโกมล



โดยประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการเดินทางมาครั้งนี้ว่า คณะกรรมการประจำจังหวัดและผู้นำศาสนาในพื้นที่ มีความเป็นห่วงในพระอาการประชวรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพร้อมใจกันเดินทางมาเพื่อแสดงความจงรักภักดีและร่วมลงนามถวายพระพร ณ รพ.ศิริราช และถือโอกาสนี้ เข้าเยี่ยมคำนับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อให้กำลังใจในการทำงานของรัฐบาล ก่อนเข้าเดือนรอมฎอน

ประธานคณะกรรมการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการและผู้นำศาสนาจังหวัดยะลาทุกคน ตระหนักและเห็นถึงความจริงใจ ตั้งใจจริงของรัฐบาล ที่มุ่งมั่น ทุ่มเทบริหารราชการแผ่นดินและสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเห็นพ้องร่วมกันว่าการบิดเบือนคำสอนทางศาสนาและความรุนแรงที่ผ่านมา ไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ในการสนับสนุนส่งเสริมสันติสุขในพื้นที่ให้เกิดขึ้น

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวแสดงความขอบคุณและกล่าวย้ำจุดยืนว่า "รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งฐานรากของชุมชน และสร้างความเป็นธรรม ความเท่าเทียมกันของประชาชนภายใต้กรอบกฎหมาย ขณะเดียวกันก็ต้องการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคประชาสังคม ต่อกระบวนการบริหารงานให้มากขึ้น ตามวิถี "ประชารัฐ" เพื่อความเข้มแข็งของชุมชนและสังคมที่ยั่งยืน"


พร้อมทั้งมั่นใจว่า พี่น้องคนไทยทุกคน มีความรักและห่วงใยพี่น้องมุสลิมใน 3 จชต.ทุกคน และปรารถนาให้เกิดสันติสุขของการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน . จึงขอความร่วมมือผู้นำศาสนาทุกท่าน ได้ร่วมกันสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ เพื่อยุติความรุนแรงและสนับสนุนกระบวนการเสริมสร้างสันติสุขในพื้นที่ให้เกิดขึ้นจงได้ ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมที่จะให้การสนับสนุนเพื่อสันติสุขที่ยั่งยืนร่วมกัน

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไม่น่าเชื่อ!! จะมีภาพแบบนี้เกิดขึ้นได้...ในประเทศที่ได้ชื่อว่ามีผู้นับถือศาสนาอิสลามมากที่สุดในโลก



ภาพความรักของคนต่างศาสนามาให้ปลื้มกันอีกแล้ว ไม่เฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเรา ล่าสุดภาพบรรยากาศวันวิสาขบูชา เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมาหมาดๆ หากไม่มีการบอกกล่าวว่าภาพเหล่านี้เกิดขึ้นที่อินโดนีเซีย ใครจะเชื่อซึ่งประเทศอินโดนีเซียมีประชากรทั้งหมด 251,170,193 คน มีความแตกต่างของกลุ่มชาติพันธุ์ประมาณ 300 กว่ากลุ่มชาติพันธุ์ การนับถือศาสนาของประชาชน นับถือศาสนาอิสลาม 87.2% ศาสนาคริสต์ 9.9% ศาสนาฮินดู 1.7% ศาสนาพุทธ 0.7% ลัทธิขงจื๊อและศาสนาอื่น ๆ 0.2%


อินโดนีเซีย (อินโดนีเซีย: Indonesia) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (อินโดนีเซีย: Republik Indonesia) เป็นหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ระหว่างคาบสมุทรอินโดจีนกับทวีปออสเตรเลีย และระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก มีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซียบนเกาะบอร์เนียวหรือกาลีมันตัน (Kalimantan), ประเทศปาปัวนิวกินีบนเกาะนิวกินีหรืออีเรียน (Irian) และประเทศติมอร์-เลสเต บนเกาะติมอร์ (Timor)


ลักษณะอากาศแบบศูนย์สูตร ประกอบด้วย 2 ฤดู คือ ฤดูแล้ง (พฤษภาคม-ตุลาคม) และฤดูฝน (พฤศจิกายน-เมษายน) อินโดนีเซียมีฝนตกชุกตลอดปี แต่อุณหภูมิไม่สูงมากนัก เพราะพื้นที่เป็นเกาะจึงได้รับอิทธิพลจากทะเลอย่างเต็มที่







วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

คุมตัวมือระเบิดหน้าสถานีรถไฟจะนะดำเนินคดี สารภาพเป็นคนขับรถ จยย.มาวาง

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว นายอิบรอเฮม หนึ่งในมือวางระเบิดหน้าสถานีรถไฟจะนะ ส่งพนักงานสอบสวน สภ.จะนะ สารภาพเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ประกอบระเบิดไปวาง
วันนี้ (25 พ.ค.) พ.ต.อ.ศักดา เจริญกุล ผกก.สส.ภ.จว.สงขลา พ.ต.ท.ดุสิน พรหมสิน รอง ผกก.สส.ภ.จว.สงขลา พร้อมด้วยกำลังหน่วยสวาทแอดวานซ์ภาค 9 และตำรวจสภ.จะนะ ควบคุมตัว นายอิบรอเฮม สุไหงบารู หรือเย๊ะ อายุ 26 ปี ชาว ต.ปิตูมุดี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี หนึ่งใน 2 ผู้ต้องหาที่ศาลจังหวัดนาทวี ได้ออกหมายจับในคดีลอบวางระเบิดบริเวณหน้าสถานีรถไฟจะนะ เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา จากศูนย์ซักถามหน่วยข่าวกรองทางทหารส่วนหน้า ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี มาส่งพนักงานสอบสวน สภ.จะนะ จ.สงขลา
เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา และดำเนินคดีตามหมายจับรวม 5 ข้อหา ประกอบด้วย ร่วมกันก่อการร้ายฯ ร่วมกันเป็นอั้งยี่ฯ สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเป็นซ่องโจรเพื่อก่อการร้ายฯ ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดฯ และร่วมกันขนย้ายระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยมี พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นภักดี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และ พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย รอง ผบช.ภาค 9 เดินทางมาติดตามความคืบหน้าคดีนี้ และทำการสอบสวนในเบื้องต้น ซึ่ง นายอิบรอเฮม ให้การรับสารภาพว่าเป็นคนขับรถจักรยานยนต์คันที่ประกอบระเบิดมาจาก อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และนำมาประกอบระเบิดที่ อ.จะนะ และเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะขับรถจักรยานยนต์ประกอบระเบิดไปจอดไว้ข้างรถตำรวจ สภ.จะนะ บริเวณหน้าสถานีรถไฟจะนะ และมีรถจักรยานยนต์อีกคันมารับหลบหนีไป

       และหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่เตรียมควบคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ หลังจากที่เมื่อช่วงเช้าได้ทำแผนชี้จุดในพื้นที่ จ.ปัตตานี ไปบางส่วนแล้ว ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะนำตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดนาทวีผลัดแรก เป็นเวลา 12 วัน
ที่มา:http://manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9590000052450

ศอ.บต.แถลงข่าวโครงการ“ประชารัฐร่วมใจ สู่เดือนรอมฎอน” ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1437

เมื่อวันที่ 24 พ.ค.59 ที่ห้องโถงอาคารอเนกประสงค์ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายภาณุ อุทัยรัตน์ พร้อมด้วย ผู้บริหาร ศอ.บต. ได้ร่วมแถลงข่าวผลการปฏิบัติงานและการดำเนินกิจกรรม ประชารัฐร่วมใจ สู่เดือนรอมฎอนประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1437 โดยมี Mr.Triyo go Jatmiko กงสุลอินโดนิเซียประจำประเทศไทย ประธานคณะกรรมการอิสลาม ผู้นำศาสนา เครือข่ายสตรี  กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ บัณฑิตอาสาพัฒนามาตุภูมิ เจ้าหน้าที่เรือนจำ  เครือข่ายยุติธรรมชุมชน เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาล เครือข่ายนักประชาสัมพันธ์  และนักจัดรายการวิทยุจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าร่วมกว่า 300 คนเข้าร่วมงาน
นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า ศอ.บต.ได้ดำเนินกิจกรรมในห้วงเดือนรอมฎอน ตามโครงการ ประชารัฐร่วมใจ สู่เดือนรอมฎอนประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1437 มีทั้งสิ้น 19 กิจกรรม ประกอบด้วย การกิจกรรมมอบข้าวสาร น้ำตาล เพื่อประกอบอาหารละศีลอด ให้ครอบครัวยากจนตามบัญชีซะกาต มัสยิดละ 10 ครัวเรือน จำนวน 23,000 ครัวเรือน การจัดตั้งศูนย์จำหน่ายสินค้าราคาถูก ต้อนรับเดือนรอมฎอนใน 33 อำเภอ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การสนับสนุนงบประมาณให้สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส จังหวัดละ 100,000 บาท และจังหวัดสตูล สงขลา จังหวัดละ 50,000 บาท เพื่อจัดกิจกรรมละศีลอด การสนับสนุนงบประมาณให้เรือนจำกลางยะลา ปัตตานี นราธิวาสและเบตง เพื่อจัดอาหารละศีลอดให้ผู้ต้องขัง
เลขาธิการ ศอ.บต. ยังกล่าวอีกว่า การพัฒนาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ ศอ.บต. ยังคงมุ่งมั่นน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนาและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงพอเพียงมาปฏิบัติ ขับเคลื่อนงานตามแนวนโยบายรัฐบาล และ คสช. ผ่านคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) เน้นความเป็นเอกภาพของงานความมั่นคง และงานพัฒนา สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ โดยให้งานพัฒนาไปเสริมหนุนงานความมั่นคงของ กอ.รมน.ภาค 4 สน. โดยพบว่าปัจจุบันประชาชนหันมาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถดูได้จากชายแดนใต้โพลล์มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา
นอกจากนี้ ศอ.บต.ยังได้ขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องของการอำนวยความเป็นธรรมการเร่งคลายทุกข์ที่ต้นทาง เพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนระดับหมู่บ้าน และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้รวดเร็ว โดยการจัดตั้งศูนย์เคดิลัน เซ็นเตอร์ ในระดับตำบล หมู่บ้าน จำนวน 37 ศูนย์ ตำบลละ 1 ศูนย์ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

การแก้ไขปัญหาที่ดินบริเวณอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากเขตอุทยานฯ ทับซ้อนที่ดินทำกินของราษฎร ส่งผลให้ราษฎรเดือดร้อน เพราะไม่สามารถตัดโค่นต้นยางพาราที่หมดอายุ เพื่อปลูกใหม่ทดแทน หรือขอรับทุนจากกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางของทางราชการได้ เป็นข้อเรียกร้องจากประชาชน นับแต่ปี 2546 ซึ่งเป็นปัญหามาแทบทุกรัฐบาล จนเมื่อรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ ศอ.บต.เร่งรัดแก้ไข โดยให้ดำเนินการตรวจสอบแนวเขตที่ชัดเจนตามระยะเวลาที่ครอบครองและได้ออกเอกสารสิทธิ และเสนอขอความเห็นชอบในการให้สิทธิทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ และในส่วนพื้นที่นอกเขตอุทยานและป่าสงวน สามารถออกเอกสารสิทธิได้ ถือว่าปัญหาข้อเรียกร้องดังกล่าวได้รับการแก้ไขสำเร็จแล้ว ขณะนี้ชาวบ้านสามารถตัดต้นยางพารา สามารถพัฒนาชุมชน ส่งเสริมอาชีพให้กับประชาชนบริเวณพื้นที่เชื่อมต่อกับเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดีอีกด้วย และในวันนี้(24 พ.ค.59) ยังจัดให้มีกิจกรรมปล่อยคาราวานรถบรรทุกปัจจัยละศีลอดแจกจ่ายไปยังครัวเรือน ผ่านศูนย์ปฏิบัติการอำเภอในพื้นที่ จำนวน 37 อำเภออีกด้วย

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จ.ยะลาถูกลมพายุพัดถล่มได้รับความเสียหายหลายจุด

ยะลา - ลมพายุพัดถล่มหลายจุดในตัวเมืองยะลา จนได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง ขณะที่ยังไม่มีรายงานของผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตแต่อย่างใด

       วันนี้ (24 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดยะลา ว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.20 น. ได้เกิดลมพายุพัดรุนแรง พร้อมกับฝนเข้าถล่มเมืองยะลา ในช่วงเวลาไม่ถึง 10 นาที ทำให้หลายจุดทั้งบ้านเรือนประชาชน งานสมโภชหลักเมือง และงานกาชาด จ.ยะลา ที่กำลังเริ่มต้นขึ้นถูกลมพายุพัดได้รับความเสียหาย
       ภายหลังเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ได้สำรวจความเสียหาย พบว่า ภายในงานสมโภชหลักเมือง และงานกาชาดยะลา ลมพายุได้พัดเอาเต็นท์ และโครงหลังคาที่จัดนิทรรศการของหน่วยงานล้มเสียหาย จำนวน 5 จุด นอกจากนี้ ภายในเขตตัวเมืองยะลาบางจุด เช่น ที่แผงลอยขายเสื้อผ้าตลาดเมืองใหม่ ก็ถูกลมพายุพัดจนร้านค้าเสียหาย เต็นท์ล้มระเนระนาด ขณะที่จุดตรวจทางเข้าเมืองด่านตรวจขุนไว เส้นทางออกไปยัง จ.ปัตตานี ลมพายุก็พัดเอาเต็นท์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดตรวจล้มเสียหายเช่นกัน

          ส่วนในพื้นที่ตำบลยุโป หมู่ที่ 1, 2 และหมู่ที่ 3 ได้รับผลกระทบจากพายุในครั้งนี้ลมได้พัดกระเบื้องหลังคาบ้านเรือนราษฎรได้รับความเสียหายรวมประมาณ 20 กว่าหลังคาเรือน

       ทั้งนี้ จากเหตุพายุพัดถล่มเมืองยะลา ยังไม่มีรายงานของผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตแต่อย่างใด ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งสำรวจความเสียหายในพื้นที่อย่างเร่งด่วนแล้ว โดยส่วนใหญ่จะมีความเสียหายจากทรัพย์สินอาคารบ้านเรือน