ผมได้มีโอกาสมาเยือนอำเภอตากใบ จ.นราธิวาสอีกครั้งหนึ่ง คิดว่าทุกท่านคงทราบว่า ตากใบเป็นอำเภอสุดชายแดนด้านทิศตะวันออกระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย โดยมีแม่น้ำตากใบและแม่น้ำโกลก เป็นแนวเขตแดนน่ะครับ วันนี้ผมจะไปท่านผู้อ่านเข้าชมวัดชลธาราสิงเห ซึ่งได้สมญานามว่า วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย มีความเป็นมาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
อำเภอตากใบเป็นหนึ่งใน 13 อำเภอของจังหวัดนราธิวาส มีพื้นที่ประมาณ 253.457 ตารางกิโลเมตร อยู่ห่างจากตัวจังหวัดออกไปทางทิศใต้ประมาณ 33 กิโลเมตร แบ่งการปกครองเป็น 8 ตำบล 49 หมู่บ้าน เมื่อปี พ.ศ.2540 มีประชากร 59,381 คน นับถือศาสนาอิสลามประมาณร้อยละ 60 ศาสนาพุทธประมาณร้อยละ 40 (ทราบว่า ปัจจุบันมีคนไทยพุทธน้อยลง) คนท้องถิ่นพูดภาษาถิ่นโบราณซึ่งมาคำไทยภาคเหนือปนอยู่ เนื่องจากชุมชนโบราณอพยพมาจากภาคเหนือ เรียกว่า ภาษาเจ๊ะเห
จากการสำรวจทางโบราณคดีพบว่า ตากใบ เป็นชุมชนโบราณของไทย นับถือศาสนาพุทธ มีความเจริญรุ่งเรืองมาแล้วในอดีต ปรากฏหลักฐานอยู่แล้วที่โคกอิฐ ตำบลพร่อน ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองตากใบประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นฐานโบราณสถาน ชิ้นส่วนภาชนะดินเผา ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ ( พุทธศตวรรษที่ 11-15) จนถึง ราชวงศ์หมิง ( พุทธศตวรรษที่ 19-20) แสดงถึงการอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องของชุมชน
คำว่า “ตากใบ” สันนิษฐานว่ามาจากชื่อ “ตาบา” ซึ่งเป็นคนแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานจึงเรียกหมู่บ้านดังกล่าวว่า บ้านตาบา อยู่ในเขตตำบลเจ๊ะเห เดิมขึ้นอยู่กับรัฐกลันตัน ในปีพ.ศ. 2452 รัฐบาลไทยได้ประกาศแต่งตั้งตำบลเจ๊ะเหขึ้นเป็นอำเภอตากใบ ในปี พ.ศ.2458 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอเจ๊ะเห หลังจากนั้น เมื่อพ.ศ.๒๔๘๑ ได้กลับมาเรียกว่า”อำเภอตากใบเหมือนเดิม” และขึ้นกับจังหวัดนราธิวาสจนถึงปัจจุบัน
สภาพภูมิอากาศของอำเภอตากใบส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม มีป่าละเมาะปกคลุมอยู่ทั่วไป เนื่องจากอำเภอตากใบอยู่ติดฝั่งทะเล อากาศจึงอบอุ่นสบาย มี 2 ฤดู คือ ฤดูฝน และฤดูร้อน ฝนตกชุกระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม อาชีพสำคัญมี การเกษตร การประมง การค้าชายแดน และอุตสาหกรรมการเกษตร ได้แก่การทำไม้ไผ่ จักสาน การทำเสื่อกระจูด และการทำผ้าบาติก
ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวตากใบมีลักษณะผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลามและคตินิยมพื้นบ้านดั้งเดิมเช่นเดียวกับชุมชนอื่น ๆ โบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่ วัดชลธาราสิงเห หรือวัดพิทักษ์แผ่นดินไทย วัดพระพุทธและโคกอิฐที่ตำบลพร่อน สถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ท่าเรือ และตลาดตาบา เกาะยาวและหาดเสด็จซึ่งเป็นที่หาดทรายสะอาด สวยงาม
ประวัติการสร้างวัดชลธาราสิงเห
ตามที่ได้สืบสวนค้นคว้า และเล่าต่อเนื่องกันได้ความว่า ผู้ที่ได้สร้างวัดนี้ เดิมชื่อ ท่านพุด หรือพระครูโอภาสพุทธคุณ สร้างเมื่อปี พ.ศ.2403 บริเวณป่าช้องแมวและป่าจากระหว่างพรุบางน้อยกับแม่น้ำตากใบ จึงเรียกว่า วัดท่าพรุหรือวัดเจ๊ะเห ในครั้งนั้นท่านพุดได้เดินทางมาถึงบริเวณดังกล่าว เห็นว่า พื้นที่เป็นป่ากว้างว่างเปล่าไม่มีผู้คนอาศัย ที่ดินติดริมแม่น้ำตากใบมีทิวทัศน์สวยงาม อากาศดี ต่อมาท่านก็เดินทางไปขอที่ดินต่อพระยาเดชานุชิต ผู้ปกครองรัฐกลันตัน เพราะในสมัยนั้นอำเภอตากใบตกอยู่ในความปกครองของรัฐกลันตัน มลายู โดยมีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมืองโกตาบารู และพระยารัฐกลันตันได้อนุญาตให้ท่านสร้างวัด แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อวัด เพียงแต่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า วัดเจ๊ะเห หรือวัดท่าพรุ เพราะเดิมก่อนที่สร้างวัดมีท่าเรืออยู่ก่อนแล้ว ชาวบ้านเล่ากันว่าเมื่อมาจากบ้านจะไปท่าเรือ ต้องข้ามพรุนาก่อนถึงท่าเรือ จึงเรียกว่าท่าพรุ บางพวกเรียกว่า วัดเจ๊ะเห ก็เพราะว่าแม่น้ำหน้าวัดต่อเนื่องมาจากหน้าหมู่บ้านเจ๊ะเห เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้วท่านได้เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก การสร้างวัดในระยะแรกเข้าใจว่า มีอาคารสร้างด้วยไม้ เช่น กุฏิ ศาลา และอุโบสถ ต่อมาปี พ.ศ.2416 ท่านได้สร้างอุโบสถใหม่ โดยได้มอบหมายให้พระชัย วัดเกาะสะท้อนเป็นช่างก่อสร้างและพระวินัยธรรมกับทิดมี ร่วมเขียนภาพในอุโบสถ พร้อมกับสร้างพระประทานและกำแพงแก้วล้อมรอบอุโบสถ
สมญานาม วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย
เหตุการณ์ตอนปักเขตแดน ระหว่างไทยกับอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2452 ว่าด้วยการจัดอำนาจของศาลกงสุลในการให้คนในบังคับของอังกฤษ ทั้งที่เป็นชาวฝรั่งและเอเซียขึ้นศาลไทย เพราะในสมัยก่อนหากประชาชนมีถ้อยความคดีกัน ต้องไปว่าความกันที่เมืองโกตาบารู ไทยจึงยอมเสียสละดินแดน 4 รัฐมลายู ให้แก่อังกฤษ ได้แก่ รัฐกลันตัน,ตรังกานู,ไทรบุรี(เคดาห์) และรัฐเปอร์ลิส พร้อมด้วยหมู่เกาะใกล้เคียง แต่เขตแดนรัฐกลันตันในสมัยนั้นอยู่ที่บ้านสะปอม (ซึ่งอยู่เลยวัดชลธาราสิงเหระยะทาง ๒๕ กม.ไปในทิศทางเขตอำเภอเมืองนราธิวาส) เป็นจุดที่อังกฤษใช้ลากเส้นเขตแดน โดยใช้สันเขา และแม่น้ำเป็นแนวตามหลักสากล ซึ่งถูกพ่วงอำเภอตากใบ, อำเภอแว้ง, อำเภอสุไหงปาดี, อำเภอสุไหงโก-ลก เข้าไปด้วย นับว่าไทยเราเสียเปรียบมากเกินไป แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงทักท้วงและให้เหตุผลว่า วัดชลธาราสิงเห เป็นวัดไทยคู่บ้านคู่เมืองของชาวอำเภอตากใน มีอาคารสถานที่และถาวรวัตถุเป็นแบบไทย ที่สร้างมาอย่างวิจิตรพิสดารทรงคุณค่าในเชิงศิลป์ ยากยิ่งที่คนต่างชาติสร้างสรรค์ได้ ประกอบกับท้องที่อำเภอตากใบมีวัด และคนไทยพุทธอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นดินแดนแถบนี้ควรอยู่ใต้การพิทักษ์รักษาของสยาม ผลปรากฏว่า ฝ่ายอังกฤษยอมรับในเหตุผลนี้ โดยให้เอาแม่น้ำตากใบ-โกลก เป็นเขตแดน จึงนับว่า วัดชลธาราสิงเห ได้ช่วยพิทักษ์แผ่นดิน 4 อำเภอชายแดนไทยเอาไว้ ไม่ต้องตกเป็นของชาวต่างชาติมาตราบเท่าทุกวันนี้
ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์โรปการ ผู้แทนฝ่ายไทย และนายราลฟี แปซยิด ผู้แทนฝ่ายอังกฤษ ลงนามในสนธิสัญญาไทย – อังกฤษ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2451 ณ กรุงเทพฯ ประเทศไทย
สนธิสัญญาไทย – อังกฤษ
ฉบับวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2451
สัญญาที่มีสาระสำคัญ ดังนี้
รัฐบาลไทย ยกสิทธิการปกครองและการบังคับบัญชาเหนือไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส รวมทั้งเกาะใกล้เคียงให้แก่อังกฤษ
การโอนดินแดนดังกล่าวจะกระทำให้เสร็จภายใน 30 วัน หลังจากวันแลกเปลี่ยนสัตยาบันกัน
รัฐบาลอังกฤษรับรองว่าเกี่ยวกับหนี้สินที่รัฐต่างๆมีต่อรัฐบาลสหพันธรัฐมลายูจะเป็นผู้รับผิดชอบชดใช้แทนให้อังกฤษยอมผ่อนคลายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และอำนาจศาลกงสุลในไทย ซึ่งอังกฤษจะยกเลิกให้ทั้งหมดเมื่อไทยประกาศใช้ประมวลกฎหมายครบถ้วนแล้วเป็นเวลา 5 ปี
คนในบังคับอังกฤษจะได้รับสิทธิเช่นเดียวกับคนพื้นเมือง
สนธิสัญญาฉบับนี้มีภาคผนวกว่าด้วยการยกเลิกสนธิสัญญาลับ พ.ศ.2440 และว่าด้วยการสร้างทางรถไฟสายใต้ไว้ด้วย สนธิสัญญาฉบับ พ.ศ.2451 นี้ ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนประเทศราชมลายู 4 รัฐ อันประกอบด้วยรัฐไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และเปอร์ลิส รวมเนื้อที่ประมาณ 15,000 ตารางไมล์ และพลเมืองกว่าห้าแสนคน แต่ไทยสามารถยกเลิกสนธิสัญญาลับ พ.ศ. 2440 และผ่อนคลายสิทธิสภาพนอกอาณาเขตได้ นอกจากนี้ยังยุติความทะเยอทะยานของอังกฤษในแหลมมลายู และเสริมสร้างสัมพันธภาพระหว่างไทยกับอังกฤษได้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ประเทศไทยไม่ต้องกังวลต่อการแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตกอีกต่อไป
ศาลาริมน้ำตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ เป็นศาลาโถงทรงมณฑปที่มีลักษณะงดงาม เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคถึงอำเภอตากใบ แล้วเสด็จขึ้นประทับ ณ ศาลาริมน้ำหลังนี้เพื่อทอดพระเนตรการแข่งขันเรือและถวายปัตตุปัจจัยบำรุงวัด
พระอุโบสถ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2416 ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของวัด หันหน้าไปทางแม่น้ำตากใบซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ โครงสร้างก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องดินเผา หลังคาเป็นชั้นซ้อนทางด้านหน้าและหลังคาของอุโบสถ มีชายคาปีกนกลดหลั่นกันลงมา 3 ชั้น มีเสานางเรียงทรงสี่เหลี่ยมรองรับเชิงชาย เครื่องบน ประดับช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ หน้าบันประดับด้วยปูนปั้นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณประตูและหน้าต่างก่อเป็นซุ้มมงกุฎ มีกำแพงแก้วและใบเสมาล้อมรอบจำนวน 8 ซุ้ม
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานเป็นรูปปางมารวิชัยภายในซุ้มเรือนแก้ว นอกจากนี้ยังปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนัง เล่าเรื่องไตรภูมิ พุทธประวัติตอนต่างๆ เช่น เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ และพระพุทธเจ้าโปรดพระพุทธบิดา เป็นต้น ภาพเทพชุมนุมและสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนท้องถิ่นในอำเภอตากใบ
ภาพอุโบสถปัจจุบัน
ป้ายทางเข้าหน้าวัด
ศาลาริมน้ำปัจจุบัน
อาคารพิพิธภัณฑ์วัดปัจจุบัน
ภาพสุดประทับใจชาวบ้านในพื้นที่ตากใบช่วยกันตั้งเสาธงชาติไทยแสดงความจงรักภักดีที่ต่อประเทศชาติ
ภาพประทับใจ ชาวบ้านไทยมุสลิม ช่วยกันตั้งเสาธงชาติไทย ที่ปลายสุดด้ามขวาน ที่เกาะยาว อ.ตากใบ จ.นราธิวาส อีกหนึ่งความประทับใจ ปลายสุดด้ามขวานทองที่ชาวบ้านรวมตัวกันยกเสาธงไตรรงค์ที่ทำจากไม้ต้นใหญ่ ถูกยกขึ้นพร้อมผืนธงชาติไทยเด่นสง่าบนชายหาด สร้างสีสันให้กับพื้นที่และยังเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีที่ต่อประเทศชาติ ที่เกิดขึ้นโดยลูกหลานชาวไทยปลายด้ามขวาน…
บทสรุป จะเห็นได้ว่า ดินแดนปลายสุดด้ามขวานของเราในเขต จ.นราธิวาส มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาในอดีตอย่างน่าสนใจ จนเกือบจะต้องเสียดินแดน 4 อำเภอจากการปักปันเขตแดนระหว่างอังกฤษกับสยามและนำมาสู่การลงนามในสนธิสัญญาเมื่อปี พ.ศ.2451 แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระปิยมหาราชในการเจรจาต่อรองด้วยการยกเหตุผลของความสำคัญของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะความเป็นเอกลักษณ์ของงานศิลปะอย่างประณีตของวัดชลธาราสิงเห ซึ่งเคียงคู่กับชุมชนไทยที่ตั้งถิ่นฐานมาเป็นเวลานาน จนทำให้อังกฤษยอมปักปันเขตแดนตามลำน้ำตากใบ-โกลกตั้งแต่นั้นมา พวกเราในฐานะอนุชนรุ่นหลังที่ได้รับมรดกที่มีคุณค่าของปลายด้ามขวานแห่งนี้ จึงสมควรที่จะต้องปกป้องรักษาอธิปไตยดินแดนแห่งนี้ไปตลอดกาล…….