สื่ออิหร่านทำสกู๊ปยกย่อง
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระบิดาของชาวมุสลิมในประเทศไทย
อีกทั้งยังทรงให้แปลคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทยด้วย
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2559 เว็บไซต์ abnewstoday.com ได้แปลข่าวจากสำนักข่าว
Iqna ของประเทศอิหร่าน
ซึ่งเรียบเรียงจากบทความของท่านผู้หญิงสมร ภูมิณรงค์ หัวข้อ
พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยมุสลิม
โดยมีรายละเอียดว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ทรงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อชาวมุสลิมในประเทศไทย
แม้ประชากรชาวมุสลิมในไทยจะมีน้อยก็ตาม มีรายละเอียดทั้งหมดดังนี้
ทรงมีพระราชดำรัสให้แปลคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทย
ก่อนปี พ.ศ. 2505 จะเป็นปีใดไม่แน่ชัด
ท่านกงสุลแห่งประเทศซาอุดีอาระเบีย ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน
ฉบับที่มีความหมายเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อในหลวงทอดพระเนตรและทรงศึกษาดู
ทรงมีพระราชดำริว่าควรจะมีพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานฉบับความหมายภาษาไทย
ให้ปรากฏเป็นศรีสง่าแก่ประเทศชาติ
เมื่อนายต่วน
สุวรรณศาสน์ จุฬาราชมนตรีในสมัยนั้น เป็นผู้นำผู้แทนองค์การ สมาคม
และกรรมการอิสลามเข้าเฝ้าฯ
ถวายพระพรในนามของชาวไทยมุสลิมในวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีนั้น
ในหลวงทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้จุฬาราชมนตรีแปลความหมายของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน
จากพระมหาคัมภีร์ฉบับภาษาอาหรับโดยตรง
สิ่งนี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อศาสนาอิสลาม
และทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกอย่างแท้จริง
ในช่วงเวลาที่จุฬาราชมนตรีแปลพระมหาคัมภีร์ถวาย ทุกครั้งที่เข้าเฝ้าฯ
ในหลวงจะทรงแสดงความห่วงใย มีพระราชกระแสถามถึงความคืบหน้า อุปสรรค
ปัญหาที่เกิดขึ้น และทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้พิมพ์เผยแพร่
ทรงรับสั่งให้กระจายอัลกุรอานออกไปทั่วประเทศ
ในปี พ.ศ. 2511 อันเป็นปีครบ 14 ศตวรรษแห่งอัลกุรอาน
ประเทศมุสลิมทุกประเทศต่างก็จัดงานเฉลิมฉลองกันอย่างสมเกียรติ
ประเทศไทยแม้จะไม่ใช่ประเทศมุสลิม แต่ก็ได้มีการจัดงานเฉลิมฉลอง 14
ศตวรรษแห่งอัลกุรอานขึ้น ณ สนามกีฬากิตติขจร เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2511
เป็นวันเดียวกันกับการจัดงานเมาลิดกลาง
ในปีนั้นในหลวงพร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีเสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธี
และในวันนั้นเป็นวันแรกที่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับความหมายภาษาไทย
ได้พิมพ์ถวายตามพระราชดำริ และได้พระราชทานแก่มัสยิดต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสในงานเฉลิมฉลอง 14 ศตวรรษแห่งอัลกุรอาน ว่า "คัมภีร์อัลกุรอาน
มิใช่จะเป็นคัมภีร์ที่สำคัญในศาสนาอิสลามเท่านั้น
แต่ยังเป็นวรรณกรรมสำคัญของโลกเล่มหนึ่ง ซึ่งมหาชนรู้จักยกย่อง
และได้แปลเป็นภาษาต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย การที่ท่านทั้งหลายได้ดำเนินการแปลออกเผยแพร่เป็นภาษาไทยครั้งนี้
เป็นการสมควรชอบด้วยเหตุผลอย่างแท้จริง
เพราะจะเป็นการช่วยเหลือให้อิสลามิกชนในประเทศไทยที่ไม่รู้ภาษาอาหรับ
ได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมะในศาสนาได้สะดวกและแพร่หลาย
ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้สนใจทั่วไปได้ศึกษา
ทำความเข้าใจหลักคำสอนของศาสนาอิสลามอย่างถูกต้องและกว้างขวางยิ่งขึ้น
เป็นที่ทราบกันดีว่า คัมภีร์อัลกุรอานมีอรรถรสลึกซึ้ง
การที่จะแปลออกมาเป็นภาษาไทยโดยพยายามรักษาใจความแห่งคัมภีร์เดิมไว้ให้บริสุทธิ์
บริบูรณ์ และพิมพ์ขึ้นให้แพร่หลายเช่นนี้ จึงเป็นที่ควรอนุโมทนาสรรเสริญ
และร่วมมือสนับสนุนอย่างยิ่ง
"
ทรงเป็นบิดาของชาวมุสลิมในประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเปรียบดั่งพระบิดาของพสกนิกรชาวไทยมุสลิม
พระองค์ทรงมีพระบรมราโชวาทกับชาวมุสลิมว่า "อิสลามิกชนมีพระคัมภีร์อัลกุรอาน
อันประกอบพร้อมด้วยบทบัญญัติทางศีลธรรม จริยธรรม นิติธรรม
เป็นแม่บทศักดิ์สิทธิ์สำหรับการประพฤติปฏิบัติและการดำเนินชีวิต
ส่วนใหญ่จึงมีชีวิตที่เจริญมั่นคง มีความฉลาด รู้ผิดชอบชั่วดี
มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และนับเป็นบุคคลที่มีคุณค่า
ถ้าแต่ละคนจะพยายามศึกษาพระคัมภีร์ให้เข้าใจถ่องแท้ยิ่งขึ้น
พร้อมกับเอาใจใส่วิทยาการด้านอื่น ๆ ให้กว้างขวางและก้าวหน้าอยู่เสมอ
ก็จะส่งเสริมให้เป็นผู้มีความดี มีความรู้ความสามารถครบถ้วน
สมควรยิ่งที่จะเป็นหลักและเป็นกำลังในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม"
การรอรับเสด็จฯ
แม้จะมีฝนตกหนัก
ในหลวงเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในจังหวัดชายแดนทางภาคใต้หลายครั้ง
โดยจะเสด็จฯ แปรพระราชฐานประทับ ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส
ในช่วงประมาณเดือนกันยายนถึงตุลาคม คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด คณะกรรมการมัสยิด
และชาวไทยมุสลิมทั้งที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ต่างรอรับเสด็จฯ
แม้ว่าจะมีฝนตก ทุกคนต่างก็เต็มใจรอรับเสด็จฯ
จนมีอยู่ครั้งหนึ่งในหลวงทรงทราบว่ามีราษฎรยืนตากฝนรอรับเสด็จฯ อยู่
จึงทรงมีรับสั่งให้เข้าไปหลบฝนก่อนที่คณะเสด็จจะเสด็จฯ ผ่าน
เนื่องจากชาวไทยมุสลิมยังใช้ภาษาท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ เมื่อในหลวงทรงมีพระราชกระแสถามถึงทุกข์สุขและการทำมาหาเลี้ยงชีพ
ชาวไทยมุสลิมส่วนใหญ่จะไม่กล้าถวายคำตอบเนื่องจากเกรงว่าจะพูดโดยใช้ภาษาไม่เหมาะสม
พวกเขาได้แต่ยิ้มด้วยความดีใจ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
ในหลวงจึงทรงรับสั่งให้ใช้ภาษาท้องถิ่นธรรมดาสามัญไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ แล้วจะมีผู้แปลความถวายให้
ทรงช่วยขจัดปัญหาให้แก่ชาวนามุสลิม
พระราชกรณียกิจในการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรนั้น
ทำให้ในหลวงทรงทราบถึงความแห้งแล้งของการขาดน้ำ สภาพดินเค็ม
ดินเปรี้ยวในการทำนาทำสวน จึงทรงมีพระราชดำริให้มีโครงการต่าง ๆ ขึ้น
ทรงพระราชทานพันธุ์ไม้ พันธุ์สัตว์ให้ชาวไทยมุสลิมนำไปเลี้ยงเป็นอาหารประจำวัน
และสามารถนำไปเป็นอาชีพประจำได้ต่อไป
ถ้าในบริเวณนั้นมีศาสนสถานหรือโรงเรียนสอนศาสนา ในหลวงจะเสด็จฯ
เยี่ยมพระราชทานเวชภัณฑ์
และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้แก่ศาสนสถานและโรงเรียนสอนศาสนา ยิ่งกว่านั้นยังทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้แพทย์หลวงทำการรักษาผู้ป่วย และผู้ป่วยบางรายหากไม่สามารถรักษาในท้องถิ่นได้
ก็จะทรงรับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์
ในปี พ.ศ. 2533 ในหลวงทรงแปรพระราชฐานประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล
หัวหิน ทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านชาวไทยมุสลิม ณ โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย
ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
ทรงมีรับสั่งให้ออกเอกสารสำหรับมัสยิด
"นูรุ้ลเอี๊ยะห์ซาน"
ที่นั่นมีมัสยิดเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ชื่อมัสยิดนูรุ้ลเอี๊ยะห์ซาน
หมู่บ้านนี้เป็นชาวไทยมุสลิมยากจนที่อพยพมาจากที่อื่นเพื่อมาประกอบอาชีพ
อิหม่ามได้กราบบังคมทูลเชิญในหลวงเสด็จฯ ประทับในมัสยิด ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดิน 1
ไร่ แต่ยังไม่สามารถจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลามได้
เนื่องจากที่ดินไม่ใช่ที่ของมัสยิด
จึงขอพระราชทานที่ดินตรงนั้นให้เป็นที่ของมัสยิด
ในหลวงได้พระราชทานตามคำกราบทูล
และยังมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเพิ่มให้อีก 5 ไร่
พร้อมทั้งมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยดำเนินการให้เป็นของมัสยิดอย่างถูกต้องเรียบร้อย
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา ในหลวงจะเสด็จฯ
เยี่ยมมัสยิดนูรุ้ลเอี๊ยะห์ซาน และพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้มัสยิดนี้เป็นประจำทุกครั้งที่เสด็จฯ
เพื่อสมทบทุนสร้างโรงเรียนสอนศาสนา
การบูรณะซ่อมแซมมัสยิดโดยการพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์
ในปี พ.ศ. 2539 มัสยิดนูรุ้ลเอี๊ยะห์ซาน ชำรุดทรุดโทรมมากและคับแคบ
อิหม่ามจึงขอพระบรมราชานุญาต สร้างมัสยิดหลังใหม่แทนหลังเก่าบนที่ดินพระราชทาน
ในหลวงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนหนึ่งแสนบาทในการสร้างให้
นับเป็นมัสยิดแห่งแรกที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์
และเป็นมัสยิดที่อิหม่ามได้ทูลเกล้าฯ ถวายให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์
มัสยิดแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นใหม่ด้วยความประณีตงดงาม โดยสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.
2542 ซึ่งเป็นปีแห่งมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงยกระดับการศึกษาของชาวมุสลิม
ในปี พ.ศ. 2512 พระราชกรณียกิจอีกประการหนึ่งคือ
การส่งเสริมการศึกษาของชาวไทยมุสลิม โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งแต่เดิมเยาวชนไทยมุสลิมจะมีการศึกษาภาคสามัญอย่างสูงเพียงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่
4 ซึ่งเป็นภาคบังคับแล้วจะเข้าเรียนภาคศาสนา
เนื่องด้วยผู้ปกครองเกรงว่าบุตรหลานของตนจะไม่รู้ศาสนา
ไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้ โรงเรียนสอนศาสนาในสมัยนั้นก็ยังเรียนกันแบบปอเนาะ คือ
นักเรียนต้องไปอยู่กับโต๊ะครู ช่วยอาชีพและเรียนหนังสือ
ไม่มีหลักสูตรว่านักเรียนจะต้องใช้เวลาเรียนกี่ปี
ด้วยเหตุที่ชาวไทยมุสลิมส่วนใหญ่จะถนัดใช้ภาษาท้องถิ่น ไม่สามารถเขียนอ่านภาษาไทย
และใช้ภาษาไทยในการติดต่อราชการได้
ในหลวงทรงห่วงใยในเรื่องนี้
จึงมีพระกระแสรับสั่งให้กระทรวงศึกษาธิการหาหนทางส่งเสริมและปรับปรุงการเรียนการสอนภาคสามัญให้ดีขึ้น
มีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกันกับบรรดาโต๊ะครูปอเนาะ
จัดให้มีการสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ทั้งยังจัดให้มีการดูงานการศึกษาในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงด้วย ปอเนาะต่าง ๆ
จึงเริ่มมีการพัฒนาปรังปรุงดีขึ้น
ปอเนาะใดที่มีการพัฒนาปรับปรุงถึงเกณฑ์ก็จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนที่มีการบริหารการเรียนการสอนดีเด่น
และเข้ารับพระราชทานรางวัลประจำปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา
การสร้างงานสำหรับชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิม
ในหลวงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ชาวไทยมุสลิมด้านการส่งเสริมอาชีพ
ทรงให้มีโครงการศูนย์ศึกษาและพัฒนาการเกษตรอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ศูนย์ที่ชาวไทยมุสลิมได้รับประโยชน์ เช่น ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย
จังหวัดเพชรบุรี ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส
ทำให้ชาวไทยมุสลิมที่เคยยากจนเพราะไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง
ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นจนสามารถยกระดับฐานะครอบครัวให้ดีขึ้นเหมือนกับชาวไทยภาคอื่น
ๆ
ความพยายามและความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดเหล่านี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย
แม้จะไม่ใช่มุสลิม แต่พระองค์ก็ทรงให้เกียรติและทรงมีความรักผูกพันต่อชาวมุสลิม
และไม่ทรงเห็นความแตกต่างระหว่างชาวมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม
พระองค์จะทรงให้การช่วยเหลือและบริการแก่ทุกคน
รวมข่าวและหมายกำหนดการงานพระบรมศพ
รัชกาลที่ 9 หลังเสด็จสวรรคต
ข้อมูลและภาพจาก
เว็บไซต์ abnewstoday.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น