‘ลมใต้ สายบุรี’
กลับกลายเป็นเรื่องราวดราม่าต้อนรับเดือนรอมฏอน
เมื่อจุดเล็กๆ ความเห็นต่างนำไปสู่ “ความไม่เข้าใจ” ระหว่างหน่วยงานความมั่นคงกับกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าทำงาน “เพื่อสิทธิมนุษยชนชายแดนใต้”ที่มีการทำรายงานสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในเรื่องของการ
“ซ้อม” และ “ทรมาน”
เมื่อฝ่ายความมั่นคงกลับมองเห็นว่าการจัดทำรายงานสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในเรื่องของ
“การซ้อม” และ “ทรมาน” ของ 3 นักสิทธิเป็นเท็จเกินความจริงที่ไม่สามารถยอมรับได้ มีการเปิดโอกาสให้หันหน้ามาพูดคุยหาทางออกของปัญหาร่วมกัน
ในขณะที่ฝ่ายนักสิทธิผู้จัดทำรายงานกลับไม่ให้ความร่วมมือ ผลในที่สุดทั้ง 2
ฝ่ายไม่สามารถที่จะ “พูดคุย” กันรู้เรื่อง
สุดท้ายลงเอยด้วยการพึ่ง “กระบวนการยุติธรรม” ในการ “พิสูจน์” ความจริงให้ปรากฏด้วยการ
“แจ้งความดำเนินคดี” ต่อกลุ่มผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ในเมื่อผู้เสียหายที่ถูกกล่าวหาได้ให้โอกาสในการ
“พูดคุยหาทางออก” แต่อีกฝ่ายกลับ “หันหลังหนี” เมื่อมาถึงทางตัน กระบวนการยุติธรรมเท่านั้นคือทางออก
เพื่อหาข้อพิสูจน์กันในชั้นศาลว่าสิ่งที่ฝ่ายสิทธิมนุษยชนจัดทำรายงาน และได้มีการเผยแพร่ไปนั้นเป็น
“เรื่องจริง” หรือ “เท็จ”
จากการแถลงข่าวของโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค
4 ส่วนหน้า ได้กล่าวถึงมูลเหตุการณ์ฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชนว่า รัฐได้ใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการประสานความร่วมมือกับองค์กรที่จัดทำรายงานเพื่อร่วมกันตรวจสอบความจริงให้ปรากฏแต่ไม่ได้รับความร่วมมือแต่อย่างใด
จึงถือเป็นการเจตนาจงใจปกปิดข้อมูลโดยใช้เหยื่อเป็นเครื่องมือในการจัดทำรายงาน มิใช่การนำไปสู่การตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อเยี่ยวยา
และหาแนวทางแก้ไขตามที่กล่าวอ้าง
และในขณะเดียวกันองค์กรที่จัดทำรายงานได้นำเอกสารดังกล่าวออกไปเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ
อย่างกว้างขวาง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง
ซึ่งอาจทำให้สังคมเข้าใจผิดส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงเกียรติภูมิ
และความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
นอกจากยังนี้มีบางประเด็นที่สำคัญเช่น “โดนให้เปลือยกายในห้องเย็นต่อหน้าเจ้าหน้าที่ทหารพรานหญิงและโดนทหารพรานหญิงเอาหน้าอกมาแนบที่ใบหน้า”
ถือเป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และ ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของสตรีอย่างร้ายแรง
เพื่อธำรงและรักษาไว้ซึ่งการแก้ไขปัญหาตามแนวทางสันติวิธี
จึงจำเป็นต้องอาศัยกลไกทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อนำไปสู่การแสวงหาความจริงร่วมกันในชั้นศาลด้วยการเข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานสอบสวน
โดยเชื่อมั่นว่าหากพยานหลักฐานมีอยู่จริงผู้จัดทำรายงานต้องนำมาเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาล
แต่หากข้อมูลไม่มีอยู่จริงหรือมีเจตนาบิดเบือนผู้จัดทำรายงานก็สมควรได้รับโทษตามกฎหมายในฐานะที่เป็นผู้ละเมิดสิทธิ
ทำลายเกียรติยศ
ศักดิ์ศรีและสิทธิขั้นพื้นฐานของเจ้าหน้าที่รัฐผู้ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเทเสียสละและหน่วยงานของรัฐที่พยายามมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อลดเงื่อนไขหล่อเลี้ยงความรุนแรงพร้อมทั้งขอยืนยันว่ารัฐจะให้ความคุ้มครองทางกฎหมายต่อประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม
แต่รัฐไม่สามารถเพิกเฉยหรือเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น
หรือกระทำผิดกฎหมายได้
การนำข้อมูลดังกล่าวไปเผยแพร่ในสื่อสาธารณะของ
น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ในฐานะ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
มีความจงใจที่จะทำลายภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่จากกระบวนการซักถามผู้ต้องสงสัย
ทั้งๆ ที่ฝ่ายความมั่นคงยื่นข้อเสนอพร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบหาความจริง
แต่ทั้งสามคนกลับไม่ให้ความร่วมมือในการช่วยกันตามหาความจริง ซึ่งถ้าเป็นจริงตามข้อกล่าวหาในรายงาน
รัฐยินดีดำเนินการต่อกำลังพลที่ไปทรมานอย่างเคร่งครัดตามกฎหมาย
ไม่มีการปกป้องผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด
หลังหน่วยงานความมั่นคงฟ้องร้องดำเนินคดีสามนักสิทธิมนุษยชน
กลุ่มแนวร่วมไม่ยอมรับความจริง โดยกลุ่ม LAMPAR และ ฮิวแมนไรท์วอทช์
กลับออกแถลงการณ์กดดันให้หน่วยงานความมั่นคงถอนฟ้อง อีกทั้งได้กล่าวหารัฐแบบข้างๆ
คูๆ ว่าเป็นการทำลายบรรยากาศสันติสุขชายแดนใต้ แล้วการเอาข้อมูลที่ยังไม่พิสูจน์ความจริงไปทำการโฆษณากล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐในสายตาของกลุ่ม
และองค์กรเหล่านี้เป็นการ “สร้างสรรค์หรืออย่างไร?”
ในเวลาต่อมาได้มีการเชิญชวนรับฟังเสวนาสาธารณะ
หัวข้อ “สันติภาพจอมปลอม เมื่อรัฐคุกคามนักสิ่งแวดล้อมและนักสิทธิ” โดยมี นายตูแวดานียา ตูแวแมแง ผอ.LAMPAR อีกทั้งเป็นผู้ประสานงานเครือข่าย
PERMATAMAS น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒธรรม
น.ส. อัญชนา หีมมีหน๊ะ ประธานกลุ่มด้วยใจ ร่วมอภิปราย
เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้ออกแถลงการณ์
เรียกร้องให้สมาชิกขององค์กรทั่วโลกส่งจดหมายถึงรัฐบาลไทยขอให้ล้มเลิกความพยายามที่จะดำเนินคดีกับนักสิทธิ
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ทหารได้ไปแจ้งความว่านักรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน 3 คน คือ นายสมชาย หอมลออ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ น.ส.อัญชนา หีมมีหน๊ะ กรณีหมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่รัฐ
เพราะจัดทำและเผยแพร่รายงานเรื่องการซ้อมทรมานโดยเจ้าหน้าที่ในจังหวัดชายแดนใต้
การเผยแพร่ข้อมูลยังทำให้มีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิด พ.ร.บ.ทางคอมพิวเตอร์อีกด้วย
เว็บไซท์แอมเนสตี้
อินเตอร์เนชั่นแนลได้เชิญชวนให้สมาชิกทั้งในไทยและต่างประเทศส่งจดหมายไปยังรัฐบาลไทยเพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกความพยายามดังกล่าวอย่างทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข
ตลอดจนยุติการข่มขู่คุกคามใดๆ
และกระตุ้นให้ทางการไทยสอบสวนตามข้อมูลเรื่องของการซ้อมทรมานในรายงาน
รวมทั้งให้นำตัวผู้กระทำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และเยียวยาผู้เสียหาย
ทำไม? แอมเนสตี้
อินเตอร์เนชั่นแนลได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้สมาชิกขององค์กรทั่วโลกส่งจดหมายถึงรัฐบาลไทยขอให้ล้มเลิกความพยายามที่จะดำเนินคดีกับนักสิทธิ
โดยไม่มีเงื่อนไขตลอดจนยุติการข่มขู่คุกคามใดๆ ต่อนักสิทธิทั้งสาม
อย่าลืมว่า น.ส.พรเพ็ญ
คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ยังสวมหมวกอีกใบคือการดำรงตำแหน่ง ประธานแอมแนสตี้
international
ประจำประเทศไทย เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเดียวกันเอง ย่อมออกมาเคลื่อนไหว
ปกป้องกันเองด้วยการยืมมือองค์กรทั่วโลกกดดันรัฐบาลไทย
ในขณะที่องค์กรระหว่างประเทศออกมารณรงค์เพื่อปกป้องนักสิทธิในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้
การแจ้งความดำเนินคดีนักเคลื่อนไหวก็กลายเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันเรื่องการขาด “พื้นที่กลาง” ในการทำงานด้านสิทธิในภาคใต้
ในเวลาต่อมาเมื่อวันที่
22 มิถุนายน 2559 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตปัตตานี ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง “ม.อ.ปัตตานี
ขอยืนยันการเป็นพื้นที่กลางเพื่อหนุนเสริมกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้”
เนื้อหาของแถลงการณ์
จากกรณี ม.อ.ปัตตานี ขอความร่วมมือให้เลื่อนการจัดการเสวนาวิชาการของกลุ่มเครือข่ายประชาชนชายแดนใต้ปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพ
(PERMATAMAS)
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2559 ที่ผ่านมานั้น
และได้มีการรายงานข้อมูลจากผู้จัดการเสวนา โดยระบุว่าได้มีนายทหารระดับสูงเข้าพบ รองศาสตราจารย์
ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
และอธิการบดีได้แจ้งคณะวิทยาการสื่อสาร
ซึ่งเป็นผู้อนุญาตการขอใช้สถานที่ให้ยกเลิกการเสวนาดังกล่าวนั้น ม.อ.ปัตตานี
และคณะวิทยาการสื่อสาร ขอชี้แจงให้ทราบว่า ไม่มีนายทหารระดับสูงเข้าพบอธิการบดีแต่อย่างใด
อธิการบดีมิได้ขอให้มีการยกเลิกการใช้สถานที่
เพียงแต่ได้แสดงความกังวลใจต่อ “ชื่อของการเสวนา” ที่สื่อความหมายรุนแรง จึงได้ประสานไปยังผู้จัดงานเพื่อขอความร่วมมือให้เลื่อนการจัดเสวนาดังกล่าวออกไปก่อน
รวมทั้งพิจารณาการปรับชื่อการเสวนาที่มีการสื่อความหมายเชิงลบ
ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนใต้ในภาพรวม
ม.อ.ปัตตานี
ขอแสดงจุดยืนในการเป็น “พื้นที่กลาง” ในกระบวนการสันติภาพโดยไม่เลือกข้าง
เพื่อเอื้ออำนวยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้ที่มีบทบาทเป็น “คนกลาง” ได้หยิบยกประเด็นความขัดแย้งหรือประเด็นความอ่อนไหวสู่วงพูดคุยให้มากขึ้น
และเพื่อเปิดโอกาสในการค้นหาแนวทางก้าวพ้นความขัดแย้งในวิถีที่ไม่ใช้ความรุนแรง
และมุ่งมั่นร่วมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคมที่พร้อมยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม
ความคิด และอุดมการณ์
“พื้นที่กลาง” ท่ามกลางความขัดแย้งทางความคิดที่ผ่านมีอยู่บ่อยครั้งที่กลุ่มและองค์กรได้ใช้“พื้นที่กลาง”เป็นสัญลักษณ์ในการจัดเสวนาหรือแสดงสัญลักษณ์การแสดงออกบางอย่างเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของรัฐ
ซึ่งเป็นมิติที่ดีที่ ม.อ.ปัตตานี ได้แสดงจุดยืนปฎิเสธการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบไม่ว่าจากฝ่ายใดและขอเรียกร้องให้ผู้ที่ต้องการใช้
“พื้นที่กลาง” แห่งนี้ทุกฝ่าย
ได้ร่วมกันรักษายึดมั่นหลักการสำคัญดังกล่าวร่วมกัน ในการก้าวข้ามผ่านความขัดแย้งของสังคมในทุกมิติ
การเปิด “พื้นที่กลาง” ของมหาวิทยาลัยให้มีบทบาทในการเอื้อให้ทุกฝ่ายได้มีพื้นที่มีเสรีภาพและเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็น
เสนอความต้องการ หรือเสนอทางออกของปัญหาในประเด็นสาธารณะอย่างแท้จริง ไม่ใช่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเหมือนอดีตที่ผ่านมา
โดยการใช้ “สถานที่ราชการกล่าวหาด่าทอรัฐ”
***********
ที่มา:http://www.southernreports.com/