ปลากือเลาะห์
เป็นปลาน้ำจืดประจำท้องถิ่นจังหวัดยะลาและนราธิวาส มีชื่อเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า
อีแกกือเลาะห์ หรือปลากือเลาะห์ อยู่ในตระกูลเดียวกับปลาเวียน และปลาพลวงหิน
ความโดดเด่นในสีของเกล็ดที่มีลักษณะเป็นสีชมพู ครีบหลังและครีบหางสีแดง
เป็นปลาพลวงชนิดเดียวที่สามารถกินได้ทั้งเกล็ด นิยมบริโภคในประเทศแถบอินโดจีน
โดยเฉพาะมาเลเซีย ที่ยังไม่สามารถวิจัยเพาะขยายพันธุ์ได้
และมีกฎหมายห้ามจับจากธรรมชาติมาบริโภคสาเหตุที่ทำให้ปลามีราคาสูง
เพราะเป็นปลาที่มีรสชาติดี หาได้ยาก อยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์
ถึงจะมีหน่วยงราชการนำไปเพาะขยายพันธุ์ แต่การเลี้ยงก็ยังไม่กว้างขวาง
เพราะเป็นปลาที่ตกใจง่าย
คุณการุณ
อุไรประสิทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา ได้อธิบายว่า
การขยายพันธุ์ และความยากลำบากของทางเจ้าหน้าที่ต้องใช้ความชำนาญพิเศษ
ที่ต้องคอยสังเกตระยะที่มีไข่สุกพร้อมมากที่สุด ถึงจะทำได้สำเร็จ
และส่งเสริมให้เกษตรกร 50 ราย ในพื้นที่อำเภอธารโตและอำเภอเบตง จังหวัดยะลา เลี้ยงในบ่อดิน
ต่อท่อตรงมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติและปล่อยให้ไหลผ่านระบบออกไป โดยปล่อยลูกปลา ขนาด 2-3 นิ้ว หนัก 20 กรัม ในอัตรา 1-5 ตัว ต่อพื้นที่บ่อ 1 ตารางเมตร ให้อาหารปลาปลาดุก
วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น มื้อละ 2-3%
ของน้ำหนักตัว ใช้เวลาเลี้ยง 3-5 ปี ถึงจะมีน้ำหนัก 3
- 5 กิโลกรัม ได้ขนาดตรงความต้องการของตลาด
จากการคำนวณต้นทุนค่าอาหาร
ผอ. ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา บอกว่า ปลาพลวงชมพูให้ผลตอบแทนสูง
มีอัตราแลกเนื้ออยู่ที่ 2-3
: 1 ถ้าจะเลี้ยงให้ได้ขนาด 2.3 กิโลกรัม
ใช้อาหารไม่เกิน 7 กิโลกรัม
เพราะฉะนั้นจะมีต้นทุนค่าอาหารแค่ตัวละ 210-250 บาท
แต่สามารถขายได้สูง 4,000-5,000 บาท ต่อกิโลกรัม ซึ่งทางศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา
ได้จัดอบรมเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากือเลาะห์ จำนวน 50 ราย
โดยทางศูนย์จะสนับสนุนพันธุ์ปลากือเลาะห์ ขนาด 10 เซนติเมตร
จำนวน 50 ตัว
มอบให้เกษตรกรนำไปเลี้ยงในบ่อที่ตัวเองได้จัดสร้างเตรียมไว้
สาเหตุที่ปลาชนิดนี้มีราคาแพง
เนื่องจากหายากในธรรมชาติ ส่วนการเลี้ยงปลากือเลาะห์
เป็นการเลี้ยงแบบระบบน้ำไหลผ่าน ซึ่งเป็นน้ำจากภูเขา ไม่ใช้เครื่องเติมออกซิเจน
สร้างบ่อการเลี้ยงให้คล้ายแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติ
และต้องเป็นน้ำที่สะอาดไม่มีมลพิษ ซึ่งใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 3 ปี ถึงจับไปขายได้ ขนาดตัวละประมาณ 2.5-3 กิโลกรัม
ราคาขายหน้าฟาร์ม กิโลกรัมละประมาณ 3,000 บาท หากนำไปขายที่มาเลเซีย
ราคากิโลกรัมละ 7,000 บาท
และที่ไต้หวันราคาจะสูงถึงกิโลกรัมละ 10,000 บาท ปัจจุบัน
กำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด
เนื่องจากเป็นข้อกำจัดของสายพันธุ์ที่ออกไข่เพียง 500-1,000 ฟอง
ต่อครั้ง เท่านั้น สอบถามรายละเอียดได้ที่ ☎(073) 297-042
-------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น