คนมลายูถือเป็นพวกที่มีรสนิยมที่ดีในการแต่งกายมาตั้งแต่อดีตกาล
พวกเขาให้ความสำคัญในการแต่งกายเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับเป็นอย่างมาก
ดังที่มีคำกล่าวของคนเฒ่าคนแก่ว่า “คนมลายูถึงบ้านจะสร้างไม่เสร็จไม่เป็นไรสร้างให้ใช้หลับนอนได้ก็พอ
แต่ถ้าต้องออกงานสังคมเรื่องการแต่งกาย เครื่องประดับ
ต้องโดดเด่นต้องสง่าไม่น้อยหน้าใคร” เพราะผู้คนในโลกมลายูมีการติดต่อการค้าการค้ากับโลกตะวันออกและตะวันตกมานาน
เป็นสังคมที่เปิดรับแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและมีการผสมผสานเข้ากับวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิม
ทำให้พวกเขาสร้างสรรค์รูปแบบการแต่งกายของตัวเองขึ้นเพื่อให้ดูมีอารยะสูสีเท่าเทียมกับผู้คนจากโลกภายนอกข้างนอก
การแต่งกายของคนมลายูจึงมีหลายรูปแบบ
และถูกพัฒนาให้เป็นชุดที่มีฟอร์มและเป็นทางการมากขึ้น อย่างเช่นชุด ‘มลายูชาย’
สันนิษฐานว่าเป็นการนำมาปรับจากชุด Raj pattern แต่ใช้เนื้อผ้าที่มีความพริ้วบางนิยมหรือไม่ก็ใส่เสื้อมลายูกับกับผ้าโสร่งและสวมหมวก
เรียกว่า ‘ซอเกาะ’ ส่วนของของฝ่ายหญิงมีชุด
‘มลายูกูรง’ กูรงแปลว่าครอบ
ชุดนี้จึงถูกออกแบบให้มีลักษณะโปร่งปิดบังทรวดทรงส่วนเว้าส่วนโค้งของสตรีในลักษณะชุดถูกออกแบบให้ดูสำรวมเรียบร้อย
และชุด ‘บานง’ ซึ่งเป็นชุดที่ได้รับความนิยมใส่กันมานาน
ชื่อนี้เพี้ยนมาจากคำว่า ‘บันดุง’ (bandung) เมืองท่าเก่าแก่บนเกาะชวาอินโดนีเซียนั่นเอง
ในอดีตชุดบานงถือว่าเป็นเครื่องแต่งกายของหญิงชนชั้นกลาง
เช่นครอบครัวพ่อค้า การสวมใส่ชุดบานง จึงมีให้เห็นในวัฒนธรรมการแต่งของคนจีนในสังคมมลายู
เช่นชุดที่คนไทยรู้จักกันว่าชุด ‘บาบ๋าย่าหยา’ (Baba-nyonya) ของคนเปอรานากันแถบจังหวัดภูเก็ต
แม้ว่าปัจจุบันการแต่งกายชุดมลายูเป็นที่นิยมแพร่หลายมากในพื้นที่ปาตานี(สามจังหวัดชายแดนภาคใต้)
แต่ถ้าหากมองย้อนกลับไปเมื่อหลายปีที่แล้ว การแต่งกายแบบดั้งเดิมแทบจะหายไปและถูกแทนที่ด้วยการแต่งกายสมัยใหม่หรือการแต่งกายแบบอาหรับ
เช่นเดียวกันความเป็นชาติพันธ์ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยคำว่า”มุสลิมไทย”ในการอธิบายความเป็นมลายูแทน
สิ่งที่เราทำมันเป็นความแปลกแยกที่สร้างสรรค์
เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่การแต่งตัวเพื่อประชันความสวยความงามอย่างเดียวมันถูกพ่วงด้วยคำอธิบายว่าเหตุไฉนการแต่งกายชุดมลายูถึงเหมาะสมกับเรา
มันมาพร้อมกับการบอกว่านี่คือมรดกทางวัฒนธรรมคือตัวตนของเราที่ควรอธิบายให้คนส่วนใหญ่เข้าใจ
ในความขบถของพวกเราผลที่เกิดขึ้นมันกลับกลายเป็นสีสันโดดเด่นกลายเป็นจุดสนใจ
เกิดการตื่นรู้ของคนข้างใน
และได้รับการตอบรับในสังคมมลายูมุสลิมเป็นอย่างดีและกลายเป็นกระแสนิยมมากขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งที่เราคนในพื้นที่พยายามให้คนมลายูได้เข้าใจตัวตนและคนข้างนอกได้เรียนรู้เรียนในความเป็นมลายูปาตานี
เปรียบได้เฉกเช่นพัฒนาการของเสื้อผ้าการแต่งกายของคนมลายูก็มีการรับวัฒนธรรมจากข้างนอกเข้ามาปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมในความเป็นตัวเองอย่างไม่เคอะเขิน
สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องสะท้อนว่าสังคมมลายูตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นสังคมที่เปิดรับความแตกต่าง
เป็นสังคมที่พร้อมจะให้ผู้คนต่างวัฒนธรรมได้เรียนรู้
แลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจอย่างสร้างสรรค์ และยอมรับในการมีตัวตนของกันและกัน
คุยได้เอางานผมไปโพสในเวปของคุณโดยไม่ได้ขออนุญาติ และยังระบุว่า เขียนโดย ปัตตานีบ้านฉัน มันคืออะไรครับ อย่างงี้ไม่โอเคน่ะครับ
ตอบลบคุณควรให้เคดิดแหล่งที่มาด้วย
ตอบลบ