“ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน”
ประวัติจังหวัด ยะลา เดิมเป็น
ท้องที่หนึ่งของเมืองปัตตานี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 5) ได้มีการปรับปรุงการปกครองใหม่เป็นการปกครองแบบเทศาภิบาลและได้ออกประกาศข้อบังคับสำหรับปกครอง 7 หัวเมือง รัตนโกสินทรศก 120 ซึ่งประกอบด้วยเมืองปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง สายบุรี ยะลา ระแงะ และรามัน ในแต่ละเมืองจะแบ่งเขตการปกครองเป็นอำเภอ
ตำบล และหมู่บ้าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2447 ประกาศจัดตั้งมณฑลปัตตานีขึ้นดูแลหัวเมืองทั้ง
7 แทนมณฑลนครศรีธรรมราช และยุบเมืองเหลือ 4 เมือง ได้แก่ ปัตตานี ยะลา สายบุรี และระแงะ ต่อมา พ.ศ. 2450 เมืองยะลาแบ่งเขตการปกครองเป็น 2 อำเภอ ได้แก่อำเภอเมืองยะลาและอำเภอยะหา
ต่อมา พ.ศ. 2475 ได้มีการยกเลิกมณฑลปัตตานี และในปี พ.ศ. 2476
เมืองยะลาได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะเป็นจังหวัดยะลาตาม พระราชบัญญัติราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 เรื่อง
การจัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาค ออกเป็นจังหวัด เป็นอำเภอ
และให้มีข้าหลวงประจำจังหวัด และกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหารราชการ
ยอมรับกันตรง ๆ เลยว่าก่อนเดินทาง ภาพของยะลา 1 ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประสบเหตุการณ์ความไม่สงบ
ทำให้เรามีความกังวลอยู่ไม่น้อย แต่ทันทีเมื่อได้มาเจอกับรอยยิ้ม และความเป็นมิตร
จริงใจของคนที่นี่ มุมมองที่เคยมีต่อยะลาของเรา...ก็เปลี่ยนไป
เราจะพาทุกคนมาสัมผัสกับ 7 สิ่ง ในเรื่องดี ๆ
ที่เราได้รับจากยะลากัน
1.รอยยิ้มและมิตรภาพ ยะลาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
(หรือเห็นในข่าว) บ้านเมืองสงบ ผู้คนออกมาใช้ชีวิตแบบปกติ
เพิ่มเติมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ถึงแม้ว่าจะมีหลาย ๆ คน
เตือนก่อนเดินทางมายะลาว่าตอนกลางคืนไม่ควรออกไปไหน เพราะอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้
แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นอีกมุมที่แตกต่าง อย่างถนนสิโรรส ที่เราจะได้เห็นร้านโรตี
หรือร้านอาหารตั้งอยู่เต็ม 2 ฝั่งถนน
กลายเป็นสถานที่ทำให้เราได้พบกับมิตรภาพของชาวยะลา
2.ผังเมืองที่ดีที่สุดในประเทศ! ผังเมืองที่ได้รับการยอมรับว่าสวยและดีที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่อำเภอเมือง
จังหวัดยะลา ถ้ามองจากมุมสูงจะเห็นเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง
(คล้ายกับผังเมืองกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส)
โดยให้ถนนทุกสายมุ่งหน้าไปที่ศูนย์กลางของเมือง
3.รู้หมืนไร่…ยะลาไม่ติดทะเล แต่อาหารทะเลมีวางขายกันเกลื่อน
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียง 1 ใน 2 จังหวัดของภาคใต้ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล
แต่ไม่ต้องห่วงเพราะบ้านใกล้เรือนเคียงนั้นติดทะเลทั้งหมด ทั้งนราธิวาส ปัตตานี
หรือสงขลา ซึ่งสามารถส่งตรงอาหารทะเลจากเรือประมงมาถึงยะลาได้ด้วยเวลาเพียงไม่นาน
4.อาหารปลายด้ามขวาน วัฒนธรรมอาหารของยะลามีความน่าสนใจ
เพราะเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมการกินของทั้งไทย จีน และอิสลามเข้าไว้ด้วยกัน อย่าง
นาซิดาแฆ เมนูสุดฮิตของชาวไทยมุสิลมที่สามารถหาทานได้ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
หรือจะเป็นไก่เบตง เนื้อไก่นุ่ม ๆ กับหนังไก่หนุบหนับ ราดด้วยซีอิ๊วเบตง
และน้ำมันงา แค่คิดก็ท้องร้องแล้ว
5.ยะลาเป็นเมืองน่ารัก ขนาดบังเกอร์ (กันระเบิด) ยังน่ารักเลยดูสิ!
การวาดภาพต่าง ๆ ลงไปบนบังเกอร์ เพื่อสร้างสีสันและบรรยากาศแห่งความผ่อนคลาย
สามารถไปดูภาพความน่ารักและอารมณ์ของคนยะลาได้ที่ ถนนจงรักษ์
ถนนสายหลักและเป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญกลางใจเมือง
6.แตกต่างแต่ไม่แตกแยก ยะลาเป็นเมือง 2 ศาสนา
คือศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ ถึงแม้ว่าจะมีการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาที่แตกต่างกัน
แต่ในดินแดนปลายด้ามขวาน เรามักจะเห็นมัสยิดตั้งอยู่ข้าง ๆ วัด ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าถึงแม้จะต่างศาสนาและต่างความเชื่อ
แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือความรักในเพื่อนมนุษย์
ที่ทำให้ชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีปัญหา
7.ปลายทางสีเขียว ป่าบาลา-ฮาลา ช่วยแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อย ๆ
ในประเทศไทย ก็ยังคงมีพื้นที่ ๆ
ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูง(เป็นป่าที่สมบูรณ์ที่สุดในภาคใต้)
ทั้งพืชพันธุ์ หรือสัตว์ป่าที่หาดูยาก รวมไปถึงถ้าใครชอบนกเงือก
ที่บาลา-ฮาลาแห่งนี้จะมีให้คุณเห็นจนเบื่อเลยละ
ขอบคุณข้อมูลจาก
เพจ BAREFOOT
magazine








ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น