วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

7 สิ่งที่ได้รับจาก ยะลา


“ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน”
ประวัติจังหวัด ยะลา เดิมเป็น ท้องที่หนึ่งของเมืองปัตตานี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้มีการปรับปรุงการปกครองใหม่เป็นการปกครองแบบเทศาภิบาลและได้ออกประกาศข้อบังคับสำหรับปกครอง 7 หัวเมือง รัตนโกสินทรศก 120 ซึ่งประกอบด้วยเมืองปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง สายบุรี ยะลา ระแงะ และรามัน ในแต่ละเมืองจะแบ่งเขตการปกครองเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2447 ประกาศจัดตั้งมณฑลปัตตานีขึ้นดูแลหัวเมืองทั้ง 7 แทนมณฑลนครศรีธรรมราช และยุบเมืองเหลือ 4 เมือง ได้แก่ ปัตตานี ยะลา สายบุรี และระแงะ ต่อมา พ.ศ. 2450 เมืองยะลาแบ่งเขตการปกครองเป็น 2 อำเภอ ได้แก่อำเภอเมืองยะลาและอำเภอยะหา ต่อมา พ.ศ. 2475 ได้มีการยกเลิกมณฑลปัตตานี และในปี พ.ศ. 2476 เมืองยะลาได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะเป็นจังหวัดยะลาตาม พระราชบัญญัติราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 เรื่อง การจัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาค ออกเป็นจังหวัด เป็นอำเภอ และให้มีข้าหลวงประจำจังหวัด และกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหารราชการ


ยอมรับกันตรง ๆ เลยว่าก่อนเดินทาง ภาพของยะลา 1 ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประสบเหตุการณ์ความไม่สงบ ทำให้เรามีความกังวลอยู่ไม่น้อย แต่ทันทีเมื่อได้มาเจอกับรอยยิ้ม และความเป็นมิตร จริงใจของคนที่นี่ มุมมองที่เคยมีต่อยะลาของเรา...ก็เปลี่ยนไป เราจะพาทุกคนมาสัมผัสกับ 7 สิ่ง ในเรื่องดี ๆ ที่เราได้รับจากยะลากัน

1.รอยยิ้มและมิตรภาพ  ยะลาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด (หรือเห็นในข่าว) บ้านเมืองสงบ ผู้คนออกมาใช้ชีวิตแบบปกติ เพิ่มเติมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ถึงแม้ว่าจะมีหลาย ๆ คน เตือนก่อนเดินทางมายะลาว่าตอนกลางคืนไม่ควรออกไปไหน เพราะอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นอีกมุมที่แตกต่าง อย่างถนนสิโรรส ที่เราจะได้เห็นร้านโรตี หรือร้านอาหารตั้งอยู่เต็ม 2 ฝั่งถนน กลายเป็นสถานที่ทำให้เราได้พบกับมิตรภาพของชาวยะลา 


2.ผังเมืองที่ดีที่สุดในประเทศ! ผังเมืองที่ได้รับการยอมรับว่าสวยและดีที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ถ้ามองจากมุมสูงจะเห็นเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง (คล้ายกับผังเมืองกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส) โดยให้ถนนทุกสายมุ่งหน้าไปที่ศูนย์กลางของเมือง


3.รู้หมืนไร่ยะลาไม่ติดทะเล  แต่อาหารทะเลมีวางขายกันเกลื่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียง 1 ใน 2 จังหวัดของภาคใต้ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่ไม่ต้องห่วงเพราะบ้านใกล้เรือนเคียงนั้นติดทะเลทั้งหมด ทั้งนราธิวาส ปัตตานี หรือสงขลา ซึ่งสามารถส่งตรงอาหารทะเลจากเรือประมงมาถึงยะลาได้ด้วยเวลาเพียงไม่นาน

4.อาหารปลายด้ามขวาน วัฒนธรรมอาหารของยะลามีความน่าสนใจ เพราะเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมการกินของทั้งไทย จีน และอิสลามเข้าไว้ด้วยกัน อย่าง นาซิดาแฆ เมนูสุดฮิตของชาวไทยมุสิลมที่สามารถหาทานได้ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น หรือจะเป็นไก่เบตง เนื้อไก่นุ่ม ๆ กับหนังไก่หนุบหนับ ราดด้วยซีอิ๊วเบตง และน้ำมันงา แค่คิดก็ท้องร้องแล้ว 


5.ยะลาเป็นเมืองน่ารัก ขนาดบังเกอร์ (กันระเบิด) ยังน่ารักเลยดูสิ! การวาดภาพต่าง ๆ ลงไปบนบังเกอร์ เพื่อสร้างสีสันและบรรยากาศแห่งความผ่อนคลาย สามารถไปดูภาพความน่ารักและอารมณ์ของคนยะลาได้ที่ ถนนจงรักษ์ ถนนสายหลักและเป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญกลางใจเมือง  
6.แตกต่างแต่ไม่แตกแยก ยะลาเป็นเมือง 2 ศาสนา คือศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ ถึงแม้ว่าจะมีการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาที่แตกต่างกัน แต่ในดินแดนปลายด้ามขวาน เรามักจะเห็นมัสยิดตั้งอยู่ข้าง ๆ วัด ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าถึงแม้จะต่างศาสนาและต่างความเชื่อ แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือความรักในเพื่อนมนุษย์ ที่ทำให้ชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีปัญหา 

7.ปลายทางสีเขียว ป่าบาลา-ฮาลา ช่วยแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อย ๆ ในประเทศไทย ก็ยังคงมีพื้นที่ ๆ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูง(เป็นป่าที่สมบูรณ์ที่สุดในภาคใต้) ทั้งพืชพันธุ์ หรือสัตว์ป่าที่หาดูยาก รวมไปถึงถ้าใครชอบนกเงือก ที่บาลา-ฮาลาแห่งนี้จะมีให้คุณเห็นจนเบื่อเลยละ

ขอบคุณข้อมูลจาก เพจ BAREFOOT magazine

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น