วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Kolae Boat ศิลปะด้านจิตรกรรมเมืองนราธิวาส

         แสงแดดยามเช้าตรู่สาดส่องสะท้อนผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ นางฟ้าในมหาสมุทรแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ ราวกับภาพสโลว์โมชั่น ความรู้สึกเหมือนกำลังมองภาพวาดของโคล้ด โมเนต์ เป็นภาพที่แสนประทับใจ ซึ่งความสวยงามแบบนี้หาดูได้แค่ในท้องทะเลแถบอ่าวไทยเพียงเท่านั้น เนื่องจากภูมิประเทศทางภาคใต้ของไทยส่วนใหญ่มีพื้นที่ติดกับชายฝั่งทะเล ชาวบ้านจึงนิยมประกอบอาชีพทำประมงชายฝั่ง อีกทั้งพาหนะในการเดินทาง รวมถึงวิถีชีวิตของคนที่อยู่ชายฝั่งทะเลนั้นจะมีความผูกพันกับเรืออย่างหลีกเลี่ยงมิได้ โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งทะเลของจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีเรืออยู่ประเภทหนึ่งซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น นั่นก็คือเรือกอและ



           เรือกอและเป็นเรือหาปลาที่แสดงถึงศิลปะทางด้านงานจิตรกรรมที่มีความสวยสดงดงามราวนางฟ้าในมหาสมุทร ด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์และสีสันที่สะดุดตา มีการผสมผสานกันระหว่างศิลปะไทย อิสลาม และจีน องค์ประกอบของลำเรือมีความแตกต่างไปจากเรือหาปลาอื่นๆ นับเป็นศิลปะที่สื่อถึงวิถีชีวิตของคนในพื้นที่โดยแท้จริง
          ในอดีต ตั้งแต่ชายหาดอำเภอเมือง อำเภอยะหริ่ง อำเภอสายบุรี ของจังหวัดปัตตานี เรื่อยไปจนถึงอำเภอเมือง อำเภอตากใบ ในจังหวัดนราธิวาส รวมถึงท้องทะเลในจังหวัดสงขลา เรือกอและเป็นพาหนะที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของชาวประมงในดินแดนแถบนี้ที่ต้องอาศัยสินในน้ำเลี้ยงชีวิต
คำว่ากอและเป็นภาษามลายู เขียนเป็นตัวอักษรโรมันว่า Kolek (โกเล็ก) หมายถึง โคลงเคลง หรือล่องลอย  ในสมัยก่อนเรือกอและเป็นเรือหาปลาที่มุ่งสู่ทะเลลึกโดยการกางใบแทนฝีพาย เครื่องยนต์รูปทรงเรือกอและมีขนาดใหญ่และยาว แคมเรือลึก สามารถสู้ลมได้  เรือกอและที่แล่นด้วยใบเป็นเรือสุดยอดแห่งความสวยงามที่คนรุ่นใหม่ไม่ได้เห็นมากว่า 30 ปีแล้ว ประกอบกับเรือกอและที่มีความสมบูรณ์แบบในอดีตนั้นลักษณะหัวเรือเรียวยาว และขั้นตอนเต็มไปด้วยศิลปะ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาตามความเชื่อและความงามจากนิยาย จากการบอกเล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน



          แหล่งกำเนิดเรือกอและในภาคใต้ของประเทศไทยที่ยิ่งใหญ่ในอดีตอยู่ที่บ้านบน ตำบลปะเสยาวอ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ในปัจจุบันการต่อเรือกอและลดน้อยลงไปมากเพราะความผันแปรของภาวะเศรษฐกิจ ที่ต้องสั่งไม้จากถิ่นอื่นทำให้ได้ไม้ราคาแพง และใช้ระยะเวลาในการต่อเรือที่ยาวนาน
         โดยทั่วไปแล้วเรือกอและจะมีหลายขนาด ความยาววัดจากหัวสุดถึงท้ายสุดจะอยู่ที่ 6-10 วา กว้างประมาณ 2-4 ศอก ส่วนความลึกวัดจากท้องเรือถึงสุดแคมประมาณ 2-3 ศอก จึงจะเป็นเรือที่มีลักษณะยาวเรียว ปราดเปรียว แล่นได้เร็ว และโต้คลื่นได้อย่างสวยงาม ส่วนหัวและท้ายของเรือจะแต่งต่อให้เชิดยาวด้วยไม้กระดานแผ่นใหญ่ โดยส่วนหน้าของกระดานทำมุมกับผิวน้ำประมาณ 80 องศา สำหรับรูปทรงของหัวเรือกอและมี 2 ชนิด คือ ชนิดหัวยาว และชนิดหัวสั้น ในอดีตจะนิยมชนิดหัวยาว แต่ในปัจจุบันจะนิยมชนิดหัวสั้น
          เรือกอและของชาวไทยมุสลิมนั้นนอกจากจะมีความงามทางด้านรูปทรงสัณฐานแล้ว ยังทรงคุณค่าที่สุดตรงลวดลายตั้งแต่หัวเรือจนถึงท้ายเรือ สีที่ใช้เขียนลายจะเป็นสีน้ำมัน มักนิยมเขียนลายเป็นรูปสัตว์ในตำนาน เช่น พวกนกต่างๆ พญานาค หนุมานจับสุวรรณมัจฉา ราหูอมจันทร์ เมขลาล่อแก้วรามสูรขว้างขวาน เป็นต้น ส่วนลายที่ท้ายเรือก็จะเป็นลายท่อนหางของรูปสัตว์ด้านหัวเรือชนิดนั้นๆ



          นายอับดุลเลาะ บูละ เป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลบูละ รับช่วงมาจากนายตาเยะ บูละ ช่างต่อเรือกอและผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของตำบลปะเสยะวอ จนมาถึงรุ่นพ่อ คือนายมะรีเป็ง บูละ นายตาเยะ บูละ เป็นช่างต่อเรือกอและที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง ต่อมาจึงคิดทำเป็นเรือกอและจำลองขึ้นเพื่อประดับในบ้าน และมอบให้เป็นของที่ระลึกให้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือมา ต่อมานายมะรีเป็ง บูละ บุตรชายก็ได้สืบทอดการทำเรือกอและต่อเพื่อจำหน่าย แต่ก็ยังไม่แพร่หลายหรือเป็นที่รู้จักมากนัก ต่อมานายอับดุลเลาะ บูละ ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ได้สืบทอดการทำเรือกอและตั้งแต่อายุ 15 ปี จนมีความชำนาญและประสบความสำเร็จ ได้รับการยอมรับจากชุมชนและหน่วยงานต่างๆ จนเป็นที่รู้จักแพร่หลาย และได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติในฐานะศิลปินดีเด่นในสาขาช่างฝีมือ ในปี พ.ศ. 2543 จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น