ความเป็นมาของการกวนข้าวอาซูรอ
หรือกวนขนมอาซูรอนั้น สืบเนื่องจากได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในสมัยศาสดานุฮ (อล)
(หนึ่งในศาสดาของศาสนาอิสลาม) หรือศาสดาโนอาร์ (อล) (หากใครเคยดูหนังฝรั่ง
ที่มีเหตุการณ์น้ำท่วมโลก และมีการนำสัตว์เป็นคู่ๆขึ้นเรือใหญ่)
ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน ไร่นาของประชาชนและสาวกของศาสดานุฮ (อล)
ทำให้เกิดสภาพขาดแคลน ผู้คนทั่วไปอดอาหาร
ท่านศาสดานุฮ (อล) จึงประกาศให้ผู้ที่มีสิ่งของเหลือพอจะรับประทานได้
ให้เอามากองรวมกัน และให้เอาของเหล่านั้นมากวนเข้าด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนได้รับประทานอาหารกันโดยทั่วหน้าและยังผลให้เกิดความสามัคคี กลมเกลียวในหมู่ชน
คำว่า อาซูรอ
เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม การรวมกัน
คือการนำสิ่งของที่รับประทานได้หลายสิ่งหลายอย่างมากวนรวมกัน การกวนข้าวอาซูรอ
(ขนมอาซูรอ) เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้
คำว่า"อาซูรอ" เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม การรวมกัน ซึ่งการกวนอาซูรอ
มักนิยมทำกันประมาณช่วงเดือนพฤศจิกาย
ของทุกปี และหรือตรงกับวันที่ 10 ของเดือนมุฮัรรอม อันเป็นเดือนแรกของฮิจเราะห์ศักราชตามศาสนาอิสลาม
การกวนข้าวอาซูรอเริ่มด้วยการที่เจ้าภาพประกาศเชิญชวนนัดหมายให้ชาวบ้านทราบว่าจะมีการกวนข้าวอาซูรอกันที่ไหน
เมื่อใด เมื่อถึงกำหนดนัดหมายชาวบ้านก็จะนำอาหารดิบ เช่น เผือกมัน ฟักทอง มะละกอ
กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เป็นต้น มารวมเข้าด้วยกันแล้วปอกหั่น
ตัดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นนำเครื่องปรุง เช่น ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม
ผักชี ยี่หร่า เกลือ น้ำตาล กะทิ เป็นต้น
มาเป็นเครื่องผสมโดยหั่นตัดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เช่นเดียวกัน
สำหรับกะทิจะคั้นเฉพาะน้ำมาผสม
วิธีกวน โดยนำกะทะใบใหญ่ตั้งไฟ
มีไม้พายสำหรับคนขนมอาซูรอ หลังจากตั้งกะทะบนเตา คั้นน้ำกะทิใส่ลงไป
ตำหรือบดเครื่องแกงหยาบ ๆ ใส่ลงในน้ำกะทิ เมื่อกะทิเดือดใส่อาหารดิบต่าง ๆ
ที่กล่าวมาแล้ว คนด้วยไม้พายจนกระทั่งทุกอย่างเปื่อยยุ่ย
กวนต่อไปจนเป็นเนื้อเดียวกัน (ประมาณ 7 ชั่วโมง)
ส่วนใหญ่จะมีการผลัดเวียนกันอย่างสนุกสนาน เมื่อแห้งได้ที่แล้วก็ตักใส่ถาด
โรยหน้าด้วยไข่เจียวหั่นบาง ๆ หรืออาจโรยหน้ากุ้ง เนื้อสมัน ปลาสมัน ผักชี
หอมหั่นฝอย แล้วแต่รสนิยมของท้องถิ่น แล้วตัดเป็นชิ้น ๆ แจกจ่ายกันรับประทาน
ณ วันนี้
ประเพณีกวนขนมอาซูรอกำลังจะถูกมองข้ามจากเด็กมุสลิมสมัยใหม่ ขนมขบเคี้ยวหลากยี่ห้อ, ไก่ทอดเคนตั๊กกี๊,
แฟรน์ฟราย, แฮมเบอร์เกอร์, ตลอดจนช็อคโกแล็ตรสเด็ดหลากสี
มันเข้าไปอยู่ในดีเอ็นเอของเด็กรุ่นใหม่เสียแล้ว เพราะอิทธิพลสื่อ
อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกมันครอบงำจนไม่รู้จะหยุดยั้งการไหลบ่าอย่างไร
คงไม่เฉพาะเด็กมุสลิม
แม้เด็กจีนจะร้องหาขนมเข่งและหรือเด็กใต้จะอยากกินขนมราก็หาอยากแล้ว
สำหรับวันนี้
คงไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง ที่จะฟื้นฟูสืบสานประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น
ที่แฝงไปด้วยอัตลักษณ์แห่งความสมานฉันท์ ในหมู่ประชาชาติมุสลิม
อีกทั้งยังเป็นกลไกที่จะคงค่าแห่งความดีงามบนรางธารแห่งศาสนา ที่จักถูกยึดโยงสืบสานยังชนรุ่นหลังฯต่อไป
.........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น