แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตลองกองที่หอมหวาน
อีกทั้งพื้นที่ส่วนมากแวดล้อมไปด้วยสวนยางพารา แต่เมื่อว่าด้วยการทำนาแล้ว
จังหวัดนราธิวาสเองมีพันธุ์ข้าวพื้นเมืองอันเลิศรสอุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการไม่ด้อยกว่าที่ใดเช่นกัน
เพราะชาวบ้านทำนา ปลูกข้าวมาช้านาน ดูได้จากชื่อบ้านนามเมืองอย่าง อำเภอสุไหงปาดี
ซึ่งเป็นภาษามลายู โดย ‘สุไหง’ แปลว่า ‘แม่น้ำ ลำคลอง’ ทางด้าน
‘ปาดี’ แปลว่า ‘ข้าวเปลือก’
มีความหมายว่า “แม่น้ำที่ลำเลียงข้าวเปลือก”
ปัจจุบันหากใครมีโอกาสไปเยือนในช่วงพลับพลึง เป็นได้เห็นทุ่งนาเหลืองอร่ามงามตา
แม้จะเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าว แต่ อ.สุไหงปาดี มิใช่พื้นที่ที่ทำนามากที่สุด
เพราะอันดับหนึ่ง คือ อ.ตากใบ
อันเป็นแหล่งกำเนิดข้าวพื้นเมืองที่ใครได้ลิ้มรสแล้วเป็นติดใจ นามว่า “ข้าวหอมกระดังงา”
เพราะมีกลิ่นหอมดุจดอกกระดังงา
จึงทำให้ข้าวหอมพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมของชาวอำเภอตากใบ อันมีผิวสีแดง
เนื้อนุ่มนี้ ถูกขนานนามว่า “ข้ามหอมกระดังงา”
ด้วยลักษณะพิเศษอย่างที่ยกมา
ชาวบ้านจึงนิยมปลูกไว้เพื่อหุงนำไปถวายพระสงฆ์ในโอกาสสำคัญต่างๆ
นอกจากนี้ยังสงวนไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอีกด้วย
ข้าวหอมกระดังงา
ไม่เพียงมีรสนุ่มลิ้น กลิ่นหอมชวนตักเข้าปากเคี้ยว ในทางโภชนาการนั้น
รายงานของสำนักงานเกษตรอำเภอตากใบจังหวัดนราธิวาส ระบุว่า อุดมไปด้วยวิตามินอี,
วิตามินบี 1 และมีสารกาบา (GABA) ถึง 27.25
ฉะนั้นการรับประทานข้าวหอมกระดังงาเป็นประจำ จึงช่วยให้แลดูอ่อนกว่าวัย, การทำงานของระบบประสาทและหัวใจมีประสิทธิภาพ, ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
โรคเบาหวาน โรคอัลไซเมอร์ และช่วยควบคุมน้ำหนัก
ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้น่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจคนหนุ่มคนสาวในสมัยนี้ดีทีเดียว นอกจากคุณค่าทางโภชนาการหลักๆ แล้ว
พบว่าหากรับประทานในแบบข้าวกล้อง ข้าวหอมกระดังงาจะให้แคลเซียม
และธาตุเหล็กที่สูงมาก โดยจะมีปริมาณสังกะสีมาก หากรับประทานในแบบข้าวกล้องงอก
เพราะความโดดเด่นของข้าวหอมกระดังงา
ที่ใครได้ลิ้มลองแล้วเป็นต้องร้องถามราคาเพื่อซื้อติดมือไปบริโภคต่อ
หรือฝากคนรู้ใจ ส่งผลให้ชาว อ.ตากใบ
ซึ่งเดิมทำนาปลูกข้าวเพื่อเน้นบริโภคในครัวเรือนเป็นหลัก
ต่อเมื่อมีเหลือจึงนำออกจำหน่าย ต้องขยายพื้นที่
และรวมกลุ่มกันผลิตข้าวหอมกระดังงาขึ้น เพื่อสนองความต้องการของตลาด
สิ่งนี้มิใช่เรื่องเลวร้าย ไม่ได้ทำลายวัฒนธรรมความเป็นอยู่ แต่เป็นสิ่งดีที่ทำให้ชาวบ้านที่ยังคงยึดวิถีชาวนาได้รวมกลุ่มสร้างรายได้ให้กับตัวเองอย่างมั่นคง
อีกทั้งเปิดโอกาสให้ผืนนากว่า 5,000 ไร่ ของ อ.ตากใบ ซึ่งถูกทิ้งร้างไปนาน
กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
จากเรื่องราวทั้งหมด
กล่าวได้เต็มคำว่า ข้าวหอมกระดังไม่เพียงใช้รส ใช้กลิ่น
ดึงผู้คนให้หันมาบริโภคข้าวดีมีประโยชน์เท่านั้น แต่ยังสร้างความสามัคคี
นำพาวิถีชาวนาจังหวัดนราธิวาสให้กลับมายิ้มแย้มอีกครั้งด้วย
เพราะเมื่อข้าวหอมกระดังงาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ชาวนาก็คิดหาทางลดต้นทุนการผลิต ด้วยการพึ่งพาเกษตรอินทรีย์ รวมกลุ่มการเกษตร
รื้อฟื้นวัฒนธรรมดั้งเดิม อาทิ การสวดนา การลงแขกเกี่ยวข้าว การแห่กำข้าวใหญ่
ตลอดจนภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น
การปักทางมะพร้าวไว้เพื่อให้นกเค้าแมวมาเกาะช่วยในการกำจัดหนูนา
หรือการใช้ต้นพาหมี (หางไหล) ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นมาหมักเพื่อใช้ฉีดพ่นป้องกัน
และกำจัดหนอนในนาข้าว เป็นต้น จึงกล่าวได้ว่า
เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมกระดังงานั้นแตกรวงออกมาเป็นชีวิตที่งดงามจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น