เสน่ห์ของจังหวัดชายแดนใต้
ก็คือ ความงดงามทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยว
และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ ซึ่งประชาชนร้อยละ 90 นับถือศาสนาอิสลาม
แต่ก็มีประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ และอยู่ร่วมกันมาช้านาน
จนเกิดการผสมผสานกันทางศิลปะ โดยมีประจักษ์พยานที่เด่นชัดอยู่ที่ตำบลทรายขาว
อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ได้แก่
มัสยิดเก่าแก่อายุร่วมสามร้อยปีที่มีสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ร่วมกันระหว่างศิลปะไทยพุทธ
และไทยมุสลิม มีชื่อว่า มัสยิดนัจมุดดีน หรือ บาโยลางา ตั้งอยู่ที่บ้านควนลังกา
หมู่ที่ 4 ตำบลทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี
สุเหร่าแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับศาลาการเปรียญ สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในปี
พุทธศักราช 2177
มัสยิดนัจมุดดีน
จุดเริ่มเรื่องราวแห่งความผูกพัน
ตำนานเล่าขานว่า
ในสมัยนั้นมีการทำสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน เป็นที่มาของวีรกรรมผู้กล้าหาญ
โต๊ะหยางหยิง แห่งบ้านบาโยลางา ขณะนั้น
โต๊ะหยางหยิงได้หนีภัยสงคราม และตกลงไปในเหวเป็นเวลาหลายวัน
ภายหลังเมื่อเหตุการณ์สงบโต๊ะหยางหยิงได้รับการช่วยเหลือขึ้นจากเหว
และต้องตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งที่โต๊ะหยางหยิงกอดไว้กับตัวโดยตลอด นั่นคือ
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านที่จารึกด้วยลายมือเป็นภาษาอาหรับ
ซึ่งพระมหาคัมภีร์เล่มนี้ได้ประดิษฐานในมัสยิดแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน
เป็นหนังสือคัมภีร์ที่เข้าเล่มแบบโบราณ ปกเป็นผ้าทอมือ และหุ้มด้วยหนังแกะ ชาวบ้านทรายขาวซึ่งพื้นเพเป็นกลุ่มคนที่อพยพมาจากไทรบุรี
มีทั้งไทยพุทธ และมุสลิมอยู่ร่วมกันมาช้านาน หลังจากสงครามในครั้งนั้นสงบลง
ชาวบ้านทรายขาวทั้งไทยพุทธ
และมุสลิมได้ร่วมแรงร่วมใจก่อสร้างมัสยิดแห่งนี้ขึ้น โดยใช้ไม้แค
และไม้ตะเคียนที่ใช้เชือกหวายลากลงมาจากภูเขา
การสร้างมัสยิดแห่งนี้ไม่ได้ใช้ตะปูเลยแม้แต่ตัวเดียว
โดยรูปแบบมีการออกแบบร่วมกันของชาวบ้านทั้งสองศาสนา
ทำให้ออกมามีลักษณะคล้ายศาลาการเปรียญ คนเฒ่าคนแก่เล่าว่า
เจ้าอาวาสวัดทรายขาวก็มาร่วมออกแบบสร้างมัสยิด ทำให้มีการนำศิลปะแบบไทยมาใช้ด้วย
นอกจากอาคารสิ่งก่อสร้างที่เป็นประจักษ์พยานแล้ว
ยังมีถาดใส่อาหารของวัดอยู่ที่มัสยิดด้วย แสดงถึงในอดีตมีการหยิบยืมร่วมกันใช้
ช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน มัสยิดนัจมุดดีน
จึงเป็นสถาปัตยกรรมทางศาสนาที่มีการผสมผสานกันอย่างลงตัวของศิลปะสองศาสนา
แสดงให้เห็นความเป็นอยู่เชิงพหุวัฒนธรรมระหว่างชุมชนสองวิถีที่อยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานสามัคคี
และให้เกียรติซึ่งกันและกันของประชาชนทั้งสองศาสนิก
การสร้างมัสยิดแห่งนี้ได้รับอิทธิพลจากราชอาณาจักรลังกาสุกะ เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีการละหมาด
มีแต่รูปแบบอาคารคล้ายโบสถ์ในศาสนาพุทธ มีบ่อน้ำโบราณ
และมีการใช้กลองตีเรียกคนมาละหมาดร่วมกัน
แสดงให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนได้เป็นอย่างดี
และในปัจจุบันได้มีการสร้างต่อเติมโดยใช้ศิลปะรูปแบบมลายู
แตกต่างแต่ไม่แบ่งแยก
ในพื้นที่ตำบลทรายขาวมีประชาชนที่นับถือพุทธ
และอิสลามอาศัยอยู่ร่วมกัน ความผูกพันของชาวทรายขาวมีมาตั้งแต่ครั้งอดีต
และไม่เคยลดน้อยลงเลย เวลามีการจัดงานประเพณีที่เกี่ยวข้องกับศาสนา
ประชาชนทั้งสองศาสนิกจะมาร่วมงานซึ่งกัน และกัน
เป็นการแสดงความแน่นแฟ้นไม่แบ่งแยกศาสนา ศาสนสถานที่สำคัญของชาวทรายขาวทั้งไทยพุทธ
และมุสลิม ล้วนเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมความสัมพันธ์
จะเห็นได้จากเวลามีกิจกรรมงานประเพณีการกวนขนมอาซูรอของชาวไทยมุสลิม
ซึ่งต้องใช้คนในหมู่บ้านมาช่วยกันกวนขนมคนละไม้คนละมือ ซึ่งก็มีทั้งชาวไทยพุทธ
และชาวไทยมุสลิมมาร่วมด้วยช่วยกัน บางปีก็จัดที่มัสยิดนัจมุดดีน
บางปีก็จัดที่วัดทรายขาว สลับกันไป ไม่เพียงแต่การกวนอาซูรอเท่านั้น
แต่หากมีกิจกรรม และงานประเพณีต่างๆ
ที่ไม่ขัดต่อหลักศาสนาชาวบ้านทรายขาวก็จะทำกิจกรรมร่วมกันมาโดยตลอด
โดยอยู่บนพื้นฐานของหลักศาสนา และการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ในทุกๆ เดือน เช่น
ในประเพณีชักพระของไทยพุทธ ชาวมุสลิมก็จะเอาข้าวปลาอาหารมาให้ชาวพุทธที่กำลังทำเรือชักพระ
เด็กนักเรียนในชุมชนก็จะมาบำเพ็ญประโยชน์ทำความสะอาดบริเวณสถานที่ทั้งที่วัดทรายขาวและที่มัสยิดนัจมุดดีนสลับกันไป ไม่เพียงแต่กิจกรรมทางศาสนาหรือในวิถีชีวิต
แม้แต่การเลือกตั้งผู้นำท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิก อบต. หรือกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน ในแต่ละสมัยก็จะมีการผลัดเปลี่ยนกันของทั้งสองศาสนา
ถ้าเป็นวาระที่เป็นของผู้นำที่นับถือศาสนาพุทธ
พี่น้องมุสลิมจะไม่ลงสมัครแข่งขันเลือกตั้งเลย
แต่หากวาระนั้นเป็นของผู้นำที่นับถือศาสนาอิสลาม
พี่น้องไทยพุทธก็จะไม่ลงสมัครแข่งขันเลือกตั้งเลยเช่นกัน
ถือเป็นการให้เกียรติซึ่งกัน และกันตามฉันทามติร่วมกันของชาวชุมชนทรายขาว
ชุมชนสองวิถี
สันติสุขด้วยพหุวัฒนธรรม
นอกจากจะมีมัสยิดนัจมุดดีน
และวัดทรายขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของวิถีพหุวัฒนธรรม
มีภาพวิถีชีวิตชุมชนสองวิถีที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะเป็นตามร้านน้ำชา
สภากาแฟจะมีชาวบ้านสองศาสนามานั่งดื่มชากาแฟ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในตอนเช้า
มีตลาดนัดชุมชนในยามเช้าที่คึกคักเต็มไปด้วยแม่ค้า
และชาวบ้านที่มาจับจ่ายซื้อของกัน
แสดงให้เห็นวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชุมชนทรายขาวได้เป็นอย่างดี และยังมีความสวยงามทางธรรมชาติที่สมบูรณ์งดงามจนขึ้นชื่อ
รอผู้มาเยี่ยมเยียน ได้แก่ อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว
ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติของขุนเขาป่าไม้ที่สวยงาม เสียงน้ำตกกระทบแก่งหิน สร้างบรรยากาศที่น่าหลงใหล ความเข้มแข็งของชุมชน นอกจากจะเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาชุมชนในด้านต่างๆ
ได้อย่างยั่งยืน ยังช่วยเป็นเกราะกำบังให้กับชุมชนบ้านทรายขาวได้ห่างไกลยาเสพติด
และไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนที่ไม่หวังดี
ความเป็นอยู่ของชาวทรายขาวแม้มีความต่าง
แต่ทั้งสองศาสนาล้วนสอนให้ทุกคนเป็นคนดี และอยู่อย่างไม่เบียดเบียนกัน
คนมุสลิมภูมิใจในมัสยิด ชาวพุทธภูมิใจในวัด
แต่ความต่างจะทำให้คนรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้เกียรติซึ่งกัน และกัน
สร้างความรักให้เกิดขึ้นในหัวใจ และอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข
ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธหรือไทยมุสลิม
ความงดงามทางวัฒนธรรมยังได้ถูกถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลังจากรุ่นสู่รุ่น พ่อแม่ปู่ย่าตายายล้วนปลูกฝังถึงความผูกพันที่มีร่วมกันมาแต่โบราณ
สั่งสอนลูกหลานว่า
พุทธและอิสลามอย่าทิ้งกัน เพราะเราคือคนทรายขาวด้วยกัน
ที่สำคัญเรายังมีองค์พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก จึงแน่ใจได้ว่า
สันติสุขจะยังอยู่คู่กับชุมชนสองวิถีแห่งนี้อีกนานเท่านาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น