วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561

น้ำตกทรายขาว ขุนเขาแห่งน้ำใส

“น้ำตก” ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในประเทศไทย ที่นักท่องเที่ยวมากมายต่างพากันหลงใหล ด้วยสายน้ำที่เย็นเฉียบ สัมผัสเมื่อไหร่รับรองว่าสดชื่น ยิ่งช่วงหน้าร้อนแบบนี้ หากได้ลองกระโดดน้ำให้น้ำกระจายเสียงดัง ‘ตู๊มมมม’แล้วล่ะก็ รับรองว่าอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการทำงานและความร้อนอบอ้าวที่ติดตัวมาจะต้องจางหายไปแน่นอน บทความนี้ข่าวภาคใต้ชายแดนจึงขอหยิบยกเรื่องราวแหล่งท่องเที่ยวที่มีความเชื่อมโยงกับน้ำตกมานำเสนอนั่นก็คือ ชุมชนท่องเที่ยวทรายขาว ต.ทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี นั่นเอง 

ก่อนจะพาไปเที่ยวขอบอกถึงจุดเด่นของชุมชนแห่งนี้ก่อนว่า ที่นี่มีวัฒนธรรมท้องถิ่นดั้งเดิมเป็นอัตลักษณ์เฉพาะสังเกตได้จากความสามัคคีของชุมชนที่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยไม่มีความขัดแย้งระหว่าง 2 ศาสนา จนได้เป็นหนึ่งใน 5 ชุมชนเข้มแข็งทางวัฒนธรรมของจังหวัดชายแดนภาคใต้เลยทีเดียว


การท่องเที่ยวชุมชนทรายขาวในครั้งนี้ของเราจะเป็นแบบทริป 2 วัน 1 คืน โดยเราได้เดินทางจากตัวเมืองปัตตานีเข้าสู่ ต.ทรายขาว อ.โคกโพธิ์ ในช่วงบ่ายๆ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที มาถึงที่แล้วไม่รอช้าไปโดดน้ำคลายร้อนกันก่อนที่อุทยานน้ำตกทรายขาว ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ สร้างความร่มรื่น เย็นสบาย ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่น้ำตกเลยทีเดียว น้ำตกทรายขาวเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ ต้นน้ำไหลมาจากยอดเขานางจันทร์ บนเทือกเขาสันกาลาคีรี มีความสูงถึง 40 เมตร สายน้ำของน้ำตกที่ไหลลงสู่เบื้องล่างผ่านโขดหินน้อยใหญ่ ทำให้เกิดความคดเคี้ยวลดหลั่งของสายน้ำเป็นชั้นๆ เกิดเป็นแอ่งน้ำหลายแอ่งที่มีขนาดใหญ่และลึก บางจุดไหลผ่านหน้าผาที่สูงชันเห็นสายน้ำสีขาวโพลนสวยงาม โดยมีทั้งหมด 10 ชั้น ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังน้ำตกด้วยการเดินทางเท้าคอนกรีตที่มีความสะดวกสบายพร้อมกับการสัมผัสธรรมชาติสองข้างทางของธารน้ำตก สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก


หลังจากเล่นน้ำกันเสร็จแล้วก็เดินทางไปยังที่พัก หลายคนอาจะนึกถึงรีสอร์ทสวย หรูๆ หยุดความคิดนั้นไปได้เลย เพราะที่นี่คือแหล่งท่องเที่ยวชุมชน เพราะฉะนั้นที่พักของเราคือ “โฮมสเตย์” ชุมชนทรายขาวแห่งนี้ได้มีการจัดกิจกรรมที่พักให้นักท่องเที่ยวที่มีความสนใจในวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แบบสังคมชนบท ได้สัมผัสกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมท้องถิ่นกับความเป็นกันเองของชาวบ้าน ได้ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน เช่นพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมกันทำอาหารพื้นบ้านของที่นี่ และนั่งรับประทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน ถือเป็นความสนุกสนานที่หาได้ยากในสังคมเมือง


ทริปนี้ยังไม่จบ โปรแกรมต่อไปเราจะพาไปชมทะเลหมอกและชมความงามของดาวบนดิน ที่จุดชมวิวเขาลูกช้าง โดยเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ เวลา 05.00 น. ซึ่งความโดดเด่นของการท่องเที่ยวชุมชนทรายขาวอีกอย่างหนึ่ง คือ การนั่ง “รถจิ๊บ” ชมความสวยงามของธรรมชาติ ระหว่างทางเราจะสัมผัสกับการเย็นสดชื่นจากผื่นป่า ได้ยินเสียงนกร้องต้อนรับยามเช้าตลอดสองข้างทาง จุดชมวิวเขาลูกช้างตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 500 เมตร สามารถสัมผัสความงดงามของทะเลหมอกที่มีความสวยไม่แพ้ที่ใด เมื่อม่านหมอกค่อยๆจางลงเราก็เห็นความงามของดาวบนดิน ซึ่งเป็นแสงไฟจากบนท้องถนน หรือตามบ้านเรือน ที่ส่องแสงระยิบระยับ เป็นหย่อมๆ สวยงามมากเลยทีเดียว และที่แห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งขององค์พระพุทธมหามุนินทโลกนาถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ปางยมกปาฏิหาริย์ ที่สร้างขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคล และเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวใจของชาวบ้าน


หลังจากชมความงามที่จุดชมวิวเขาลูกช้างแล้ว เราเดินทางลงสู่ยอดเขาโดยระหว่างทางจะพบกับความมหัศจรรย์ของหินขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายงู ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า ผาพญางู ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นพญางูที่ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาคุ้มครองความปลอดภัยให้กับชาวบ้านในพื้นที่ จากนั้นเดินทางเท้าขึ้นไปทางด้านบนของหน้าผาเล็กน้อยจะเป็นสถานที่ที่ประดิษฐ์สถานของพระพุทธรูปแก่นไม้ลั่นทม อายุกว่า 200 ปี ซึ่งเชื่อกันว่าบริเวณนี้เคยถูกใช้เป็นที่วิปัสสนาของ “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ในอดีตมาแล้ว จากนั้นเดินทางลงมายังชุมชนเพื่อมาชมความงดงามของวัดทรายขาว และ มัสยิดโบราณ ที่มีอายุ 300 กว่าปี จากนั้นได้เดินทางไปยังกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เป็นกลุ่มแม่บ้านที่รวมกลุ่มกันทำผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารที่ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น เช่น กล้วยเส้นแปรรูป และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากส้มแขก และถ้าเราเดินทางมาในช่วงเดือน สิงหาคมถึงเดือนกันยายน จะเป็นฤดูผลไม้ เราจะได้เดินชมพร้อมชิมผลไม้สดจากสวน ซึ่งผลไม้ที่โดดเด่นและโด่งดังของที่นี่คือ ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง ที่ได้ชื่อว่าเป็น“ทุเรียนทรายขาวพรีเมี่ยม” ที่มีรสชาติหวานอร่อย กรอบนอกนุ่มใน ฮึ้ม...มีความฟินส์แบบสุดๆไปเลย



การท่องเที่ยวชุมชนทรายขาวที่นี่เราจะได้สัมผัสถึงวิถีชุมชน 2 วัฒนธรรม พุทธ มุสลิม อยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสให้การต้อนรับคนนอกพื้นที่ด้วยความเป็นกันเอง ได้ชมความงดงามของธรรมชาติที่แทบไม่มีการดัดแปลง ซึ่งชาวบ้านที่นี่หวังว่าจะเป็นสิ่งที่สามารถลบภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นผ่านสื่อในสายตาของหลายคน ให้เป็นภาพของความสวยงามและความสงบสุขของพื้นที่แห่งนี้ต่อไป

-นักเดินทาง-

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น