วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560

มัสยิด 300 ปี (มัสยิดวาดีอัลฮูเซ็น หรือ มัสยิดตะโละมาเนาะ)

          ตั้งอยู่ห่างจากอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เพียง 4 กิโลเมตร ทางเข้ามัสยิดแยกจากเส้นทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 42 (สายเอเชีย 18) เส้นทางนราธิวาส-ปัตตานี ตรงทางแยกบ้านบือราแง ตั้งอยู่ที่บ้านตะโละมาเนาะ หมู่ที่ 1 ตำบลลุโบะสาวอ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส มัสยิดวาดิลฮูเซ็น เป็นมัสยิดเก่าแก่และมีประวัติอันยาวนาน ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่ามัสยิด 200 ปีบ้าง มัสยิด 300 ปีบ้างมัสยิดวาดิลฮูเซ็น (มัสยิดตะโละมาเนาะ : 200 ปี) ตั้งอยู่ห่างจากอำเภอบาเจาะจังหวัดนราธิวาสเพียง 4 กิโลเมตร ทางเข้ามัสยิดแยกจากเส้นทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 42 (สายเอเชีย 18) เส้นทางนราธิวาส-ปัตตานี ตรงทางแยกบ้านบือราแง ตั้งอยู่ที่บ้านตะโละมาเนาะ หมู่ที่ 1 ตำบลลุโบะสาวอ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส



        มัสยิดวาดิลฮูเซ็น เป็นมัสยิดเก่าแก่และมีประวัติอันยาวนาน ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่ามัสยิด 200 ปีบ้าง มัสยิด 300 ปีบ้าง ตามประวัติโดยหะยีอับดุลฮามิ อูเซ็น อายุ 89 ปี ชาวบ้านเรียกว่าปะดอดูกู ได้เล่าให้ฟังว่ามัสยิดแห่งนี้ได้สร้างมาแล้ว 3 ชั่วอายุคน โดยท่านหะยีซายฮูซึ่งเป็นครูสอนศาสนาเป็นผู้ก่อสร้าง มีนายแซมะเป็นนายช่าง สันนิษฐาน ว่าสร้างเมื่อปี พ.ศ.231 ลักษณะการก่อสร้าง ก่อสร้างจากไม้ตะเคียนทั้งหลัง ใช้สลักไม้แทนตะปูหรือสกรู การก่อสร้างในสมัยนั้นไม่มีเลื่อย ขวาน สิ่วแต่จะใช้บือจือตา(รูปร่างคล้ายขวาน) ตัดไม้ ใช้บันลีโยง(ลิ่ม) ผ่าไม้ ใช้บายิ (รูปร่างคล้ายจอบ) ถากไม้ให้เรียบ เสาไม้มีจำนวน 26 ต้นสี่เหลี่ยมขนาด 10X10 นิ้ว พื้นหนา 2 นิ้ว ฝาประกบหน้าต่างทำด้วยไม้ทั้งแผง แกะสลัก เป็นลวดลายต่าง ๆ ตัวมัสยิดสร้างเป็นอาคาร 2 หลังติดกันมีขนาด14.20X6.30 เมตร เฉพาะหลังที่เป็นมิหรอบ (บริเวณที่อิหม่ามนั่งละหมาด) มีขนาด4.60X5.60 เมตร


        มัสยิดแห่งนี้สร้าง แบบศิลปไทยพื้นเมืองประยุกต์กับศิลปแบบจีนและศิลปแบบมลายู ส่วนที่เด่นที่สุดของมัสยิดนี้จะอยู่ที่หลังคาอาคารหลังแรกส่วนที่เป็นมิหรอบ หลังคามี 3 ชั้น มุงด้วยกระเบี้องดินเผา หลังคาชั้นที่ 3 มีโดมเป็นเก๋งจีนอยู่บนหลังคา เป็นศิลปแบบจีนแท้ เสาจะแกะสลักเป็นรูปดอกพิกุล ในสมัยนั้นเก๋งจีนจะใช้เป็นหออะซาน(สำหรับตะโกนเรียกคนมาละหมาด) ส่วนหลังที่ 2 จะมีหลังคา 2 ชั้นมุงด้วยกระเบื้องดินเผา หลังคาชั้นที่ 2 จะมีจั่วอยู่บนหลังคาชั้นแรกมีฐานดอกพิกุลหงายรองรับจั่วหลังคาอีกชั้นหนึ่ง มีรูปแบบทรงไทย แบบหลังคา โบสถ์วัดทั่ว ๆ ไปรอบ ๆฐานดอกพิกุลหงายจะแกะสลักเป็นลายเถาว์ก้านมุมหลังคาด้านบนของอาคารทั้ง 2 หลัง ใช้ปูนปั้นเป็นลายกนก ลายเถาว์ก้าน มัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่ ประกอบศาสนกิจของชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามมาหลายชั่วอายุคนซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อชุมชนมาก

       ประวัติมัสยิดวาดี อัล ฮูเซ็นมัสยิดวาดี อัล ฮูเซ็น หรือ มัสยิด ตะโละมาเนาะ หรืออีกชื่อหนึ่งคือมัสยิด ๓๐๐ ปี เป็นมัสยิดที่เก่าแก่ อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอบาเจาะเพียง ๔ กิโลเมตร ทางเข้ามัสยิดแห่งนี้แยกจากเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๒ (สายเอซีย๑๘ ) เส้นนราธิวาส ปัตตานี ตรงทางแยก บ้านบือราแง รถยนต์สามารถเข้าถึงมัสยิด มัสยิดแห่งนี้สร้างโดย วันฮูเซ็น อัส ซานาวี ซึ่งเป็นครูสอนศาสนาอพยพมาจากบ้านสะนอ จังหวัดปัตตานี ตามบัญชาของราชาซาลินดงบายู หรือ ราชาตะลูบันเมื่อครั้งอพยพหนีการรุกรานของกองทัพสยามแต่ความจริงแล้วกองทัพสยามไม่ได้ยกทัพมาตีเมืองปัตตานี



ผู้บุกเบิกมัสยิดวาดี อัล ฮูเซ็น (มัสยิดตะโละมาเนาะ)
 
         มัสยิด วาดี อัล ฮูเซ็น ได้ริเริ่มสร้างโดย วันอูเซ็น อัส-ซานาวี เป็นอิหม่ามคนแรกของมัสยิด หลังจากที่ท่านเสียชีวิตผู้ครอบครองมัสยิดก็ยังคงเป็นบรรดาลูกหลานของท่านจนถึงทุกวันนี้

 
วันฮุเซ็น อัส-ซานาวี คือใคร
 
        วันฮุเซ็น อัส-ซานาวี คือผู้ริเริ่มก่อสร้างมัสยิดตะโละมาเนาะ หรือ มัสยิดวาดี อัล ฮูเซ็น หรืออีกชื่อหนึ่งคือ มัสยิด ๓๐๐ ปี มัสยิดเรือนไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในแถบนี้ คำว่า อัส-ซานาวีคือ ชื่อเรียกตามภูมิลำเดิมของท่าน คือ ท่านมาจากหมู่บ้านสะนอญัณญาร์ จังหวัดปัตตานี ท่านและภรรยานางกัลซุม(ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่บ้านม่วงหวาน จังหวัดปัตตานี)พร้อมด้วยลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นผู้บุกเบิกหมู่บ้านตะโละมาเนาะ

         รายงานกล่าวว่า อิหม่ามวันฮุเซ็น อัส-ซานาวี เป็นอิหม่ามใหญ่แห่งบ้านสะนอ ญันญาร์ ได้ผลิตอูลามะอฺ (นักปราชญ์หรือผู้รู้ในด้านศาสนา)ของเมืองปัตตานี ท่านเป็นศิษย์ของ ท่านสุนัน อัมเปล อูลามะอฺที่ไปเปิดสถาบันปอเนาะ ณ เกาะชวาประเทศอินโดนีเซีย และมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่าน


        อิหม่ามวันฮุเซ็น อัส-ซานาวี เป็นอูลามะอฺที่สามารถท่องจำภัมคีร์อัลกรุอานได้หมดทุกบทอย่างลึกซึ้ง(ฮาฟิส)ทั้งยังสามารถเขียนอัลกุรอานด้วยลายมือตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากมายต่อชาวไทยมุสลิมและตำราด้านศาสนาอิสลามให้ลูกศิษย์ได้ศึกษา ซึ่งปัจจุบันนี้อัลกุรอานที่ท่านเขียนไว้ยังคงอยู่และอยู่ในความดูแลของหะยีอับดุลฮามิด บินหะยีอับดุลยูโซะ(ปัจจุบันได้เสียชีวิตแล้ว) เชื้อสายตระกูลวันฮุเซ็น ลำดับที่ ๖


          วันฮุเซ็น มีพี่น้องหลายคน รายงานระบุว่าท่านมีพี่น้องทั้งหมดเจ็ดคน คนโตมีชื่อว่าวันสนิหรือวันอิดริส กระทั่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงคนหนึ่งของเมืองปัตตานีที่มีนามว่า เชคดาวุด อับดุลเลาะ อัล ฟาตอนี ก็คือหลานคนหนึ่งของวันฮุเซ็น บิดาของวันฮุเซ็นมีชื่อว่า สุลต่าน ก็อมบุล หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า สัยยิดอะลี นูรุล-อาลัม มีประวัติที่พิสดารมาก และมีความสัมพันธ์กับวาลี(ผู้มีญานวิเศษ)ทั้ง ๙ ของอินโดนีเซีย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น