วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560

มากล้นด้วยเสน่ห์!!! สถานที่ท่องเที่ยวน่าประทับใจ...เมืองใต้



โอเค เบตง
       หลังภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายเมื่อหลายปีที่แล้ว คนก็พูดกันติดปากถึงอำเภอเบตง จ.ยะลา ที่อยู่ใต้สุดของเมืองไทยว่า โอเค...เบตง ซึ่งหากใช้กับสภาพการณ์ในตอนนี้ที่สถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ยังคงอยู่แต่ว่าลดกีกรีความร้อนแรงลงไปเยอะมาก เบตง เป็นพื้นที่หนึ่งในสามจังหวัดชายแดนใต้ที่ถือว่าโอเค คือกลับมาอยู่ในความสงบปราศจากเหตุไม่ปลอดภัยได้เกือบ 3 ปีแล้ว
       ดังนั้นเมื่อโอกาสดีมาถึง ตะลอนเที่ยวจึงล่องใต้ไป 3 จังหวัดชายแดน ที่แม้ใครหลายคนจะหวั่นในสถานการณ์ และเสียงลือเล่าอ้างบวกข่าวที่โหมกระพือถึงความไม่ปลอดภัย แต่ในสภาพการณ์จริงชาวบ้านในพื้นที่เขาปรับตัวและใช้ชีวิตเหมือนปกติมานานแล้ว พวกเขารู้ว่าสถานที่ใดสมควรไป เวลาใดสมควรเดินทาง และจุดไหนควรหลีกเลี่ยง
       ทำให้ช่วงที่เราไปเยือน 3 จังหวัดชายแดนใต้นั้นปลอดภัยหายห่วง โดยในจังหวัดสุดท้ายที่ยะลานั้น จากตัวเมือง(ในเวลากลางวัน)เราเดินทางผ่านถนนแห่งขุนเขาสันการาคีรีไปตามทางหลวง 410 อันคดเคี้ยวเลี้ยวๆลด ขึ้นๆลงๆ ประมาณ 140 กม. สู่ อ.เบตงดินแดนที่มีคำขวัญว่า เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน


โอเค...เบตง
       เบตง เป็นเมืองในแอ่งกระทะล้อมรอบด้วยขุนเขาน้อยใหญ่ ที่อยู่ห่างจากด่านชายแดนเบตง-มาเลเซียเพียง 7 กิโลเมตรเท่านั้น เบตงเป็นพื้นที่พิเศษ รถในเมืองนี้สามารถใช้ทะเบียนเบตงได้เลย โดยไม่ต้องใชทะเบียนจังหวัดยะลา
       ชื่อเบตงเป็นภาษามลายูหมายถึงไม้ไผ่ในอดีตเมืองนี้มีไม้ไผ่มาก แต่ปัจจุบันในตัวเมืองมองหาต้นไผ่ไม่เห็นแล้ว มีแต่ไผ่ยักษ์จำลองซึ่งทางเทศบาลเมืองเบตงได้จัดสร้างไว้ที่สวนสาธารณะของเทศบาล


       ไหนๆก็พูดถึงความใหญ่ยักษ์แล้ว เบตงโด่งดังมากในเรื่องของตู้ไปรษณีย์ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยตู้แรกต้นฉบับสุดคลาสสิคนั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มุมถนนสุขยางค์ บริเวณ 4 แยกหอนาฬิกา
       ไปรษณีย์ยักษ์ตู้นี้ มีอายุกว่า 80 ปี สูง 3.2 เมตร เหตุที่ทางเมืองนี้ทำตู้ไปรษณีย์สีแดงยักย์ประดับเมืองไว้ เพราะในอดีตการเดินทางติดต่อสื่อสารจากเบตงไปยังเมืองอื่นๆเป็นไปด้วยความยากลำบาก การส่งจดหมายสื่อสารถึงกันนับเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ทำให้นายสงวน จิระจินดา นายกเทศมนตรีตำบลเบตงในขณะนั้น ที่มีความผูกพันกับตู้ไปรษณีย์ไม่น้อยเนื่องจากเคยเป็นนายไปรษณีย์มาก่อน ได้จัดสร้างตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางการสื่อสารที่ท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบตงไปโดยปริยาย
       และด้วยความโดดเด่นของตู้ไปรษณีย์แห่งนี้ ทำให้ทางเทศบาลเมืองเบตงนำไปขยายผลด้วยการสร้างตู้ไปรษณีย์ยักษ์จำลองขึ้นใหญ่กว่าเดิมถึง 3.5 เท่า(ราว 9 เมตร) ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่หน้าศาลาประชาคม
          อย่างไรก็ตามในเรื่องของความมีเสน่ห์และความคลาสสิคนั้น ตู้ไปรษณีย์ต้นฉบับกินขาด กลายเป็นหนึ่งในแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาส่งจดหมาย โปสการ์ด หรือมายืนแอ๊คท่าถ่ายรูปคู่กับตู้ไปรษณีย์ยักษ์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี


       นอกจากตู้ไปรษณีย์ยักษ์สุดคลาสิคแล้ว ใกล้ๆกันยังมีอีกหนึ่งความคลาสสิคตั้งตระหง่าน เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองนั่นก็คือ หอนาฬิกาเบตงที่เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่อยู่เคียงคู่กับเมืองเบตงมาช้านาน หอนาฬิกาแห่งนี้ สร้างเป็นสัญลักษณ์จุดศูนย์กลางของเมือง ณ บริเวณจุดตัดของถนนสุขยางค์กับถนนรัตนกิจ ด้วยหินอ่อนขาวนวลดูสง่าน่ามอง
          รอบๆหอนาฬิกาดูระโยงระยางไปด้วยสายไฟ ซึ่งในช่วงหัวค่ำสายไฟเหล่านี้จะเต็มไปด้วย สิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียกว่า นกนางแอ่นเกาะบนสายไฟเต็มพรืดไปหมด
       นกนางแอ่นเหล่านี้หนีหนาวมาจากไซบีเรียมาอยู่เบตงในช่วงเดือนกันยายนถึงมีนาคม ยามหัวรุ่งพวกมันจะบินไปหาอาหารตามป่าเขา และกลับมาเกาะที่สายไฟในช่วงหัวค่ำเป็นอย่างนี้ทุกวัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนเบตง ซึ่งพวกเขาผูกพันและหวงแหนนกเหล่านี้ไม่น้อยเลย
       สาววัยรุ่นบางคนจากที่เราได้เห็นมา เธอมารอซื้อโรตีเจ้าอร่อยที่ข้างหอนาฬิกาใต้สายไฟในช่วงหัวค่ำ แล้วจู่อะไรก็หล่นปุ๊ลงมาให้เธออุทานว่า ยี้ ขี้นกตกใส่หัวก่อนจะหัวเราะขบขันไม่มีการสบถด่าทอหรือขับไล่นกเหล่านั้นแต่อย่างใด ในขณะที่ชาวบ้านบางคนก็ยินดีที่จะบอกเล่าเรื่องราวของนกเหล่านี้เท่าที่เขารู้ให้กับนักท่องเที่ยวต่างถิ่นอย่างตะลอนเที่ยวซึ่งกับเมืองท่องเที่ยวหลายแห่งการมีสายไฟระโยงระยางพาดผ่านสถาปัตยกรรมอันสวยงามดูจะเป็นการทำลายเสน่ห์ของเมือง แต่กับที่เบตงสายไฟเหล่านี้กลับกลายเป็นส่วนเสริมเสน่ห์ของเมืองให้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น


จากบริเวณ 4 แยกหอนาฬิกา หากเดินขึ้นไปตามความชันเล็กน้อยของถนนก็จะพบกับ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์อุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของเมืองไทย ที่ขุดทอดโค้งให้รถวิ่งไป-มา
       อุโมงค์แห่งนี้ดูคลาสิคกว่าสมัยใหม่เพราะด้านหลังของอุโมงค์(เมื่อมองจาก 4 แยกหอนาฬิกาเข้าไป)ตะหง่านเงื้อมสวยงามไปด้วย พิพิธภัณฑ์เมืองเบตงกับงานสถาปัตยกรรมท้องถิ่นประยุกต์หลังคาซ้อนหลายชั้น
    ในพิพิธภัณฑ์ชั้นหนึ่งเก็บรวบรวมศิลปวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้ โบราณวัตถุ อาทิ ถ้วยชามเครื่องเคลือบ โต๊ะ ตู้ เตียง โบราณ ตะเกียงเก่า เรือสำเภาจำลอง กี่ทอผ้า อุปกรณ์ปั่นฝ้าย ส่วนชั้นสองจัดแสดงภาพเก่าเมืองเบตง และข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในเมืองนี้


       พิพิธภัณฑ์เมืองเบตงยังมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือ เป็นจุดชมวิวชั้นดีที่เมื่อขึ้นไปชั้นบนสุดมองลงมาจะเห็นตัวเมืองเบตงได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ลานดาดฟ้าตึกหลังหนึ่งข้างๆพิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่เต้นแอโรบิกยามเย็นที่คึกคักไปด้วยลีลายักย้านส่ายส่วนต่างๆของร่างกายจากผู้คนในพื้นที่ ซึ่งตะลอนเที่ยวเห็นแล้วอดขยับแข้งขยับขาตามมาไม่ได้


  เย็นในวันนั้น ตะลอนเที่ยวเดินตามบันไดวนขึ้นไปชมวิวเมืองเบตงยามโพล้เพล้บนพิพิธภัณฑ์ ก่อนกลับลงมาสัมผัสกับเบตงยามค่ำคืน

       หลังจากเราเห็นภูเขาของผีเสื้อราตรีแบบเตะตาอย่างไม่ตั้งใจในยามค่ำคืน เช้าวันรุ่งขึ้นตะลอนเที่ยวตื่นแต่เช้าตรู่ ขึ้นไปบนดาดฟ้าของที่พักโรงแรมแมนดาริน อาคารสูงที่สุดในเบตงเพื่อชมทิวทัศน์ของภูเขาของจริงที่ทอดตัวเรียงรายโอบล้อมตัวเมืองนี้ ท่ามกลางสายหมอกบางๆที่ลอยเอื่อยมาทักทาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น