วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ประเพณีชักพระหรือลากพระ ประเพณีโบราณปักษ์ใต้





เคยสงสัย!! หรือไม่ว่าทำไมเราต้องลากพระหรือชักพระ ... วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันว่าประเพณีชักพระ มีความสำคัญและมีที่มาอย่างไร? ก่อนอื่นเลยเรามารู้จักประเพณีอันเก่าแก่กันก่อนดีกว่า

ตามคำบอกเล่าของตำนานเล่ากันไว้ว่า...ประเพณีชักพระหรือลากพระเป็นประเพณีสำคัญของชาวใต้ที่เก่าแก่มานมนาน ประเพณีชักพระจะอยู่ในช่วงวันออกพรรษา (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) มีความเชื่อว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพระมารดา พอถึงช่วงออกพรรษา พระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับโลกมนุษย์ ทำให้ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใส และรู้สึกปลาบปลื้มใจ จึงเชิญพระพุทธเจ้าให้ประทับบนบุษบก และแห่ไปยังที่ประทับของพระพุทธองค์ ในยุคต่อมาชาวบ้านจึงนำพระพุทธรูปมาแห่แทนพระพุทธองค์


ประเพณีชักพระหรือลากพระมีผู้สันนิษฐานว่า...เกิดขึ้นในประเทศอินเดียตามลัทธิของศาสนาพราหมณ์ ที่นิยมนำเทวรูปออกแห่ในโอกาสต่าง ๆ ต่อมาชาวพุทธศาสนิกชน ได้นำมาดัดแปลงให้ตรงกับศาสนาพุทธ ประเพณีชักพระหรือลากพระได้ถ่ายทอดมาถึงประเทศไทยในบริเวณภาคใต้ได้รับ และมีการนำไปปฏิบัติจนกลายเป็นประเพณีสืบมาจนถึงปัจจุบัน ชาวใต้มีความเชื่อว่าการลากพระ จะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลหรือเป็นการขอฝน เพราะผู้ประกอบพิธีส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ประเพณีลากพระ ก่อให้เกิดวัฒนธรรมอื่น ๆ สืบเนื่องหลายอย่าง เช่น ประเพณีการแข่งขันเรือพาย การประชันโพนหรือแข่งโพน กีฬาซัดต้ม การทำต้มย่าง การเล่นเพลงเรือ เป็นต้น นอกจากนั้นประเพณีชักพระยังก่อให้เกิดการรวมกลุ่มกันทำคุณงามความดี ก่อให้เกิดความสามัคคีธรรมของหมู่คณะ นำความสุขสงบมาให้สังคม


สมัยก่อนประเพณีลากพระหรือชักพระส่วนใหญ่จะเป็นการลากพระทางน้ำ ชาวบ้านจะมีการอัญเชิญพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรนำมาประดิษฐานบนเรือพระ แล้วค่อย ๆ แห่ไปตามแม่น้ำลำคลอง แต่การลากพระทางน้ำ เรือพายของชาวบ้านจะไม่สามารถเข้าใกล้เรือพระได้ ชาวบ้านที่ต้องการจะทำบุญ จะทำบุญด้วยขนมต้ม จึงใช้วิธีการปาต้มหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ซัดต้ม" แต่บางตำนานก็มีการเล่าถึงพุทธประวัติ ที่เกี่ยวข้องกับประเพณี "ซัดต้ม" มาจากการที่ประชาชนได้มารอรับเสด็จพระพุทธเจ้าจากพระโมคคัลลาน มีประชาชนมากมายแออัดเนืองแน่น ประชาชนไม่สามารถจะเข้าไปถวายภัตตาหารถึงพระพุทธองค์ได้ทั่วทุกคน จึงจำเป็นที่ต้องเอาภัตตาหารห่อใบไม้ส่งต่อ ๆ กันเข้าไปถวายส่วนคนที่อยู่ไกลออกไปมากๆ จะส่งต่อๆ กันก็ไม่ทันใจ จึงใช้วิธีห่อภัตตาหารด้วยใบไม้โยนไปบ้าง ปาบ้าง เข้าไปถวายเป็นที่โกลาหล ถือว่าเป็นการถวายที่ตั้งใจด้วยความบริสุทธิ์ด้วยแรงอธิษฐานและอภินิหารแห่งพระพุทธองค์ ภัตตาหารเหล่านั้นไปตกในบาตรของพระพุทธองค์ทั้งสิ้น เหตุการณ์นี้จึงเกิดประเพณี "ห่อต้ม" "ห่อปัด" ขึ้น


ครั้งหนึ่ง...พระภิกษุชาวจีนนามว่า "อี้จิง" ได้จารึกผ่านคาบสมุทรมลายู เพื่อไปศึกษาศาสนาในประเทศอินเดียราวปี พ.ศ.1214 - 1238 ได้เห็นประเพณีการลากพระของชาวเมือง"โฮลิง"ชื่อเดิมของเมืองนครศรีธรรมราช พระอี้จิงได้บันทึกไว้ว่า "มองเห็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง มีคนแห่แหนนำมาจากวัด ประดิษฐานจากรถหรือบนแคร่ มีพระสงฆ์และฆราวาสหมู่ใหญ่รายล้อม มีการตีกลองและบรรเลงดนตรีต่าง ๆ มีการถวายข้าวตอกดอกไม้ และธงชนิดต่าง ๆ ที่ทอแสงในกลางแดด" จากหลักฐานในจดหมายเหตุของภิกษุอี้จิง จึงทำให้นักวิชาการบางคนเชื่อว่าประเพณีลากพระในภาคใต้ มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยศรีวิชัย


ประเพณีชักพระในปัจจุบันนั้นได้แปรเปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งโบราณกาล เรือพระทุกวันนี้ส่วนใหญ่นิยมใช้รถยนต์ (กระบะ) ตกแต่งด้วยโฟม แกะสลักเป็นลวดลายไทย สีสันสวยงาม แต่ก็ยังมีบางพื้นที่ยังคงใช้รูปแบบโบราณ ใช้คนลากเรือพระไปตามเส้นทาง ขณะที่ลากเรือพระไปใครจะมาร่วมแขวนต้มบูชาพระ หรือร่วมลากตอนไหนก็ได้ เกือบทุกท้องถิ่นกำหนดให้มีจุดนัดหมาย เพื่อให้บรรดาเรือพระทั้งหมดในละแวกใกล้เคียง ไปชุมนุมรวมตัวในที่เดียวกันในเวลาก่อนพระฉันเพล ให้พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาส "แขวนต้ม" และถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสามเณรได้ทั่วทุกวัดหรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

โอกาสนี้จึงก่อให้เกิดการประกวดประชันกันขึ้นโดยปริยาย เช่น การประกวดเรือพระ การแข่งขันเรือพาย การเล่นเรือโต้แก้จำกัด การประกวดเรือเพรียวประเภทต่าง ๆ เช่น มีฝีพายมากที่สุด แต่งตัวสวยงามที่สุด หรือตลกขบขัน หรือมีความคิดริเริ่มดี มีการแข่ง การประกวดเรือพระสมัยก่อนมักให้รางวัลเป็นของที่จำเป็นสำหรับวัด เช่น น้ำมันก๊าด กาน้ำ ถ้วยชาม สบง จีวร เสนาสนะสงฆ์ แต่ปัจจุบันรางวัลมักจะให้เป็นเงินสด...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น