วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เรื่องดีๆจากอำเภอตากใบ หลากหลายวัฒนธรรม


              ผมได้มีโอกาสมาเยือนอำเภอตากใบ จ.นราธิวาสอีกครั้งหนึ่ง คิดว่าทุกท่านคงทราบว่า ตากใบเป็นอำเภอสุดชายแดนด้านทิศตะวันออกระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย  โดยมีแม่น้ำตากใบและแม่น้ำโกลก เป็นแนวเขตแดนน่ะครับ  วันนี้ผมจะไปท่านผู้อ่านเข้าชมวัดชลธาราสิงเห ซึ่งได้สมญานามว่า วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย มีความเป็นมาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง


       อำเภอตากใบเป็นหนึ่งใน 13 อำเภอของจังหวัดนราธิวาส มีพื้นที่ประมาณ 253.457 ตารางกิโลเมตร อยู่ห่างจากตัวจังหวัดออกไปทางทิศใต้ประมาณ 33 กิโลเมตร แบ่งการปกครองเป็น 8 ตำบล  49 หมู่บ้าน เมื่อปี พ.ศ.2540 มีประชากร 59,381 คน นับถือศาสนาอิสลามประมาณร้อยละ 60 ศาสนาพุทธประมาณร้อยละ 40 (ทราบว่า ปัจจุบันมีคนไทยพุทธน้อยลง) คนท้องถิ่นพูดภาษาถิ่นโบราณซึ่งมาคำไทยภาคเหนือปนอยู่ เนื่องจากชุมชนโบราณอพยพมาจากภาคเหนือ เรียกว่า ภาษาเจ๊ะเห
       จากการสำรวจทางโบราณคดีพบว่า ตากใบ เป็นชุมชนโบราณของไทย นับถือศาสนาพุทธ มีความเจริญรุ่งเรืองมาแล้วในอดีต ปรากฏหลักฐานอยู่แล้วที่โคกอิฐ  ตำบลพร่อน ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองตากใบประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นฐานโบราณสถาน ชิ้นส่วนภาชนะดินเผา ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ ( พุทธศตวรรษที่ 11-15) จนถึง  ราชวงศ์หมิง ( พุทธศตวรรษที่ 19-20) แสดงถึงการอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องของชุมชน
          คำว่า “ตากใบ” สันนิษฐานว่ามาจากชื่อ “ตาบา” ซึ่งเป็นคนแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานจึงเรียกหมู่บ้านดังกล่าวว่า บ้านตาบา อยู่ในเขตตำบลเจ๊ะเห เดิมขึ้นอยู่กับรัฐกลันตัน ในปีพ.ศ. 2452 รัฐบาลไทยได้ประกาศแต่งตั้งตำบลเจ๊ะเหขึ้นเป็นอำเภอตากใบ ในปี พ.ศ.2458 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอเจ๊ะเห หลังจากนั้น เมื่อพ.ศ.๒๔๘๑ ได้กลับมาเรียกว่าอำเภอตากใบเหมือนเดิมและขึ้นกับจังหวัดนราธิวาสจนถึงปัจจุบัน
         สภาพภูมิอากาศของอำเภอตากใบส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม มีป่าละเมาะปกคลุมอยู่ทั่วไป เนื่องจากอำเภอตากใบอยู่ติดฝั่งทะเล อากาศจึงอบอุ่นสบาย มี 2 ฤดู คือ ฤดูฝน และฤดูร้อน ฝนตกชุกระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม อาชีพสำคัญมี การเกษตร การประมง การค้าชายแดน และอุตสาหกรรมการเกษตร ได้แก่การทำไม้ไผ่ จักสาน การทำเสื่อกระจูด และการทำผ้าบาติก
          ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวตากใบมีลักษณะผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลามและคตินิยมพื้นบ้านดั้งเดิมเช่นเดียวกับชุมชนอื่น ๆ โบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่ วัดชลธาราสิงเห หรือวัดพิทักษ์แผ่นดินไทย วัดพระพุทธและโคกอิฐที่ตำบลพร่อน สถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ท่าเรือ และตลาดตาบา เกาะยาวและหาดเสด็จซึ่งเป็นที่หาดทรายสะอาด สวยงาม


ประวัติการสร้างวัดชลธาราสิงเห
           ตามที่ได้สืบสวนค้นคว้า และเล่าต่อเนื่องกันได้ความว่า ผู้ที่ได้สร้างวัดนี้ เดิมชื่อ ท่านพุด หรือพระครูโอภาสพุทธคุณ สร้างเมื่อปี พ.ศ.2403  บริเวณป่าช้องแมวและป่าจากระหว่างพรุบางน้อยกับแม่น้ำตากใบ  จึงเรียกว่า วัดท่าพรุหรือวัดเจ๊ะเห   ในครั้งนั้นท่านพุดได้เดินทางมาถึงบริเวณดังกล่าว เห็นว่า พื้นที่เป็นป่ากว้างว่างเปล่าไม่มีผู้คนอาศัย ที่ดินติดริมแม่น้ำตากใบมีทิวทัศน์สวยงาม อากาศดี   ต่อมาท่านก็เดินทางไปขอที่ดินต่อพระยาเดชานุชิต  ผู้ปกครองรัฐกลันตัน เพราะในสมัยนั้นอำเภอตากใบตกอยู่ในความปกครองของรัฐกลันตัน มลายู โดยมีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมืองโกตาบารู  และพระยารัฐกลันตันได้อนุญาตให้ท่านสร้างวัด   แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อวัด เพียงแต่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า วัดเจ๊ะเห หรือวัดท่าพรุ  เพราะเดิมก่อนที่สร้างวัดมีท่าเรืออยู่ก่อนแล้ว  ชาวบ้านเล่ากันว่าเมื่อมาจากบ้านจะไปท่าเรือ ต้องข้ามพรุนาก่อนถึงท่าเรือ จึงเรียกว่าท่าพรุ บางพวกเรียกว่า วัดเจ๊ะเห ก็เพราะว่าแม่น้ำหน้าวัดต่อเนื่องมาจากหน้าหมู่บ้านเจ๊ะเห  เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้วท่านได้เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก  การสร้างวัดในระยะแรกเข้าใจว่า มีอาคารสร้างด้วยไม้ เช่น กุฏิ ศาลา และอุโบสถ  ต่อมาปี พ.ศ.2416 ท่านได้สร้างอุโบสถใหม่ โดยได้มอบหมายให้พระชัย วัดเกาะสะท้อนเป็นช่างก่อสร้างและพระวินัยธรรมกับทิดมี ร่วมเขียนภาพในอุโบสถ พร้อมกับสร้างพระประทานและกำแพงแก้วล้อมรอบอุโบสถ




           ศาลาริมน้ำตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ เป็นศาลาโถงทรงมณฑปที่มีลักษณะงดงาม เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคถึงอำเภอตากใบ แล้วเสด็จขึ้นประทับ ณ ศาลาริมน้ำหลังนี้เพื่อทอดพระเนตรการแข่งขันเรือและถวายปัตตุปัจจัยบำรุงวัด


           พระอุโบสถ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2416 ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของวัด หันหน้าไปทางแม่น้ำตากใบซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ โครงสร้างก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องดินเผา หลังคาเป็นชั้นซ้อนทางด้านหน้าและหลังคาของอุโบสถ มีชายคาปีกนกลดหลั่นกันลงมา 3 ชั้น มีเสานางเรียงทรงสี่เหลี่ยมรองรับเชิงชาย เครื่องบน ประดับช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ หน้าบันประดับด้วยปูนปั้นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณประตูและหน้าต่างก่อเป็นซุ้มมงกุฎ มีกำแพงแก้วและใบเสมาล้อมรอบจำนวน 8 ซุ้ม
    ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานเป็นรูปปางมารวิชัยภายในซุ้มเรือนแก้ว นอกจากนี้ยังปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนัง เล่าเรื่องไตรภูมิ พุทธประวัติตอนต่างๆ เช่น เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ และพระพุทธเจ้าโปรดพระพุทธบิดา เป็นต้น ภาพเทพชุมนุมและสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนท้องถิ่นในอำเภอตากใบ
ภาพสุดประทับใจชาวบ้านในพื้นที่ตากใบช่วยกันตั้งเสาธงชาติไทยแสดงความจงรักภักดีที่ต่อประเทศชาติ


          ภาพประทับใจ ชาวบ้านไทยมุสลิม ช่วยกันตั้งเสาธงชาติไทย ที่ปลายสุดด้ามขวาน ที่เกาะยาว อ.ตากใบ จ.นราธิวาส อีกหนึ่งความประทับใจ ปลายสุดด้ามขวานทองที่ชาวบ้านรวมตัวกันยกเสาธงไตรรงค์ที่ทำจากไม้ต้นใหญ่ ถูกยกขึ้นพร้อมผืนธงชาติไทยเด่นสง่าบนชายหาด สร้างสีสันให้กับพื้นที่และยังเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีที่ต่อประเทศชาติ ที่เกิดขึ้นโดยลูกหลานชาวไทยปลายด้ามขวาน



            บทสรุป จะเห็นได้ว่า ดินแดนปลายสุดด้ามขวานของเราในเขต จ.นราธิวาส มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาในอดีตอย่างน่าสนใจ  จนเกือบจะต้องเสียดินแดน 4 อำเภอจากการปักปันเขตแดนระหว่างอังกฤษกับสยามและนำมาสู่การลงนามในสนธิสัญญาเมื่อปี พ.ศ.2451   แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระปิยมหาราชในการเจรจาต่อรองด้วยการยกเหตุผลของความสำคัญของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะความเป็นเอกลักษณ์ของงานศิลปะอย่างประณีตของวัดชลธาราสิงเห ซึ่งเคียงคู่กับชุมชนไทยที่ตั้งถิ่นฐานมาเป็นเวลานาน  จนทำให้อังกฤษยอมปักปันเขตแดนตามลำน้ำตากใบ-โกลกตั้งแต่นั้นมา  พวกเราในฐานะอนุชนรุ่นหลังที่ได้รับมรดกที่มีคุณค่าของปลายด้ามขวานแห่งนี้  จึงสมควรที่จะต้องปกป้องรักษาอธิปไตยดินแดนแห่งนี้ไปตลอดกาล…….

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น