ในอดีต
สามจังหวัดชายแดนใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
คืออาณาจักรปาตานีที่สืบทอดมาจากอาณาจักรลังกาสุกะ
ประชากรส่วนใหญ่มีอัตลักษณ์และดำเนินชีวิตด้วยวัฒนธรรมมลายู
นับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ จึงมีขนบธรรมเนียมแตกต่างจากวัฒนธรรมอื่น ทั้งภาษา
วิถีชีวิต ภูมิปัญญาท้องถิ่น และความเชื่อความศรัทธา
‘กริช’
คือหนึ่งในความเชื่อ
สัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวมุสลิมมลายู
ในอดีตเคยเป็นที่นิยมแพร่หลายในพื้นที่ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป
ไม่เพียงเฉพาะชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม
แต่ยังเลื่องลือไปถึงอีกหลายประเทศทางตอนใต้ เรื่องราวความเป็นมาของกริชรามันห์แม้จะยังไม่มีหลักฐานจารึกที่แน่ชัด
แต่มีปรากฏทั้งในตำนาน เรื่องเล่า ศิลปะการต่อสู้และการแสดง
บนความเชื่อทางศาสนาและภูมิปัญญาท้องถิ่น กริชเป็นทั้งอาวุธประจำตัว
อาภรณ์ประดับกาย วัตถุมงคล ไปจนถึงเครื่องรางของขลัง ทั้งเจ้าเมือง ขุนนาง ตลอดจนประชาชนทั่วไปสามารถมีกริชไว้ในครอบครองได้ไม่ต่ำกว่า
1
เล่ม หรือบางครอบครัวอาจมีกริชประจำตระกูลที่สืบทอดส่งต่อกันมา
ปี 2482
หลังจอมพล
ป. พิบูลสงคราม จัดตั้งสภาวัฒนธรรม ออกนโยบายรัฐ 12 ประการ
สร้างวัฒนธรรมใหม่ให้กับชนชาวไทย เช่น ให้ประชาชนสวมหมวก แต่งกายแบบไทย
กำหนดวัฒนธรรมไทย ห้ามพูดภาษามลายู และข้อห้ามอื่นๆ
ในช่วงเวลานั้นช่างทำกริชหรือบรรดาผู้ที่มีกริชไว้ในครอบครองต่างหวาดกลัวว่าจะถูกทางการไทยเพ่งเล็งด้วยข้อหาครอบครองอาวุธร้ายแรง
ความนิยมการใช้กริชในฐานะอาวุธประจำกาย เครื่องประดับ และใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมตามวิถีมุสลิมจึงค่อยๆ
หายไป ชาวบ้านเริ่มเก็บกริชประจำตระกูลไว้ในที่ลับ บ้างลืมเลือนกันไป
บ้างขายต่อให้กับพ่อค้ารับซื้อของเก่า
ช่างทำกริชจำนวนไม่น้อยต้องจำใจล้มเลิกอาชีพที่ตนรัก
หรือหากยังฝืนทำต่อก็ต้องทำอย่างหลบซ่อน และนำออกมาใช้ต่อเมื่อมีงานบุญใหญ่
ในช่วงปี
2532 ตีพะลี
อะตะบู ครูภูมิปัญญา ยอดฝีมือช่างทำกริช และหัวหน้าคณะวิจัยชุด ‘การอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปะการทำกริชรามันห์
ตำบลตะโล๊ะหะลอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา’ ขณะนั้นเป็นครูสอนศาสนา
ครูสอนวิชาชีพที่ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และทำงานรับจ้างทั่วไปโดยเฉพาะงานช่าง
สมัยนั้นมีพ่อค้าชาวต่างชาติเข้ามากว้านซื้อกริชจากคนในพื้นที่จำนวนมาก
นานวันเข้ากริชโบราณที่มีมาแต่เดิมก็ยิ่งหายากและร่อยหรอไป
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ วันหนึ่งกริชรามันห์อาจหลงเหลือเพียงแค่ตำนาน
ครูตีพะลีจึงคิดทดลองทำกริชขึ้นใหม่
โดยคงไว้ซึ่งรูปแบบและลวดลายโบราณของชาวมลายูมุสลิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น