วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

“รายอแน” ประเพณีดีงานของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ จชต.


รายอแน  เป็นประเพณีอย่างหนึ่งของชาวมลายูมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่อดีต ซึ่งเป็นประเพณีที่ไม่มีระบุในศาสนา แต่เป็นวิถีที่มุสลิมมลายูในพื้นที่ถือปฏิบัติ หลังจากที่ถือศีลอดในเดือนรอมฎอนเสร็จสิ้นแล้ว ในศาสนาอิสลามส่งเสริมให้ถือศีลอดต่ออีก 6 วัน ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจการถือศีลอด 6 วันนี้แล้ว ชาวมลายูมุสลิม 3 จังหวัดก็ถือโอกาสนี้เฉลิมฉลองอีกครั้งโดยการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษที่เสียชีวิต โดยการอ่านอัลกุรอานและซิกรุลเลาะห์ (รำลึกถึงอัลลอฮฺ) โดยมักจะเลี้ยงอาหาร  เยี่ยมเยียนกูโบร์(สุสาน) ของบรรพบุรุษที่สำคัญเพื่อรำลึกถึงความตาย บางพื้นที่ยังมีการทำความสะอาดบริเวณกูโบร์ร่วมกัน โดยเรียกวันนี้ว่า วัน รายอแน



ทั้งนี้ วันอีด หรือในพื้นที่รู้จักกันว่า ฮารีรายอ ในหลักศาสนาอิสลามนั้นมี 2 วันเท่านั้น  คือวัน อีฎิ้ลฟิตรี”  ซึ่งเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองของการสิ้นสุดการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งตรงกับวันที่ 1 ของเดือนเชาวาล เป็นเดือนถัดไปจากเดือนรอมฎอนตามปฏิทินทางจันทรคติของอิสลาม ส่วนวันอีดอีกวันหนึ่งคือ อีฎิ้ลอัฎฮา”  เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่มุสลิมส่วนหนึ่งจากทั่วทุกมุมโลกได้มีโอกาสไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอารเบีย  


          
โดยชาวมลายูใน 3 จังหวัดฯโดยเฉพาะที่ปัตตานีจะเฉลิมฉลองในวัน รายอแนมากกว่าวันฮารีรายอ อีฎิ้ลฟิตรีด้วยซ้ำ ส่วนมุสลิมในพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศหรือต่างประเทศ จะไม่มีวัฒนธรรม รายอแนแต่ก็จะมีกิจกรรมซึ่งต่างกันออกไปแต่ยังสอดคล้องกับหลักศาสนา ดังนั้นจึงน่าตั้งคำถามว่า เหตุใดที่ชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงถือปฏิบัติประเพณีรายอแนเรื่อยมา



นูรุดดีน สารีมิง อาจารย์แผนกอิสลามศึกษา คณะวิทยาลัยอิสลามศึกษา ม.อ.ปัตตานี กล่าวถึงวันอีดว่า ความจริงแล้ว วันอีดในอิสลามนั้น มีแค่ 2 วันเท่านั้น แต่สำหรับวันรายอแนนั้น เป็นประชามติของชาวบ้านที่ถือปฏิบัติกันมา หลังจากที่ถือศีอดอีก 6 วันในเดือนเชาวาล  ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ดี ในอิสลามไม่ได้ห้ามอะไร  โดยมีกิจกรรมหลัก ๆ คือ การเยี่ยมกูโบร์ (สุสาน) ทำความสะอาด ระลึกถึงการตาย ซึ่งการเยี่ยมกูโบร์นั้น ก็เป็นซุนนะฮฺ หรือแบบอย่างการปฏิบัติคำสอนของนบีมูฮัมหมัดและสิ่งที่ท่านยอมรับ 



อับดุลการีม หะยีอาซา ผู้จัดการสถาบันปอเนาะดารุสลาม อัลฟาตอนีย์ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี  อธิบายถึงประเพณีและคุณค่าของ รายอแนว่า  “มีหะดิษหนึ่งกล่าวความว่า ให้ถือศีลอดครบ 1 เดือนในเดือนรอมฎอน และถือศีลอดเพิ่มอีก 6 วันในเดือนเชาวาล เพราะจะได้รับผลบุญเท่ากับถือศีลอด 1 ปี หลังจากนั้นให้มีการสร้างความสัมพัธ์ระหว่างเครือญาติ หรือ ในภาษาอาหรับเรียกว่า ซีลาตุลเราะฮีม เพราะในหะดิษกล่าวถึงคุณค่าถึงการปฏิสัมพันธ์กับญาติพี่น้อง จะทำให้ บุคคลนั้นได้รับปัจจัยยังชีพโดยง่าย และที่สำคัญจะได้พ้นจากภัยร้ายทั้งปวง และยังมีหะดิษหนึ่งบอกความว่า ใครที่ต้องการปัจจัยยังชีพโดยง่าย คือ  ให้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ



และอธิบายเพิ่มเติมว่าในวันดังกล่าวนั้น มีกิจกรรมที่คล้ายคลึงกัน โดยการทำอาหารเลี้ยงกัน ซึ่งถือเป็นการบริจาคทาน และมีกิจกรรมที่ต่างกับวันอีดปรกติคือ การเยี่ยมกูโบร์ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ดี เพราะการเยี่ยมกูโบร์เป็นการระลึกถึงการตาย และทำให้ อีมานหรือ ความศรัทธาของเราเข้มแข็งมากขึ้น นอกจากนั้นแล้วในขณะที่เยี่ยมกูโบร์นั้น ก็มีการอ่านอัลกุรอาน และรำลึกถึงอัลลอฮฺ และหะดิษหนึ่งได้บอกความว่า  ความดีของผู้ที่ถอนหญ้าในกูโบร์แค่ 1 เส้น จะได้รับผลบุญเท่ากับ 10 เส้น เพราะส่งผลทำให้คนที่เดินผ่านไปมา เห็นกุโบร์ที่สะอาดนั้นก็จะรู้สึกสบายใจ นายอับดุลการีม หะยีอาซากล่าว



อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าการเฉลิมฉลองของประเทศอื่น ๆ นั้น จะใช้เวลานานเป็นสัปดาห์ อย่างประเทศ ซาอุดีอาระเบีย เพราะประเทศเหล่านี้มีฐานะร่ำรวย บางคนถือโอกาสวันอีฎิ้ลฟิตรี เดินทางเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องถึงต่างประทศ ทำให้ต้องใช้เวลานาน หรืออย่างประเทศมาเลเซีย มีการเฉลิมฉลองวันฮารีรายอกันยาวนานนับเดือนซึ่งต่างกับคนไทยใน 3 จังหวัดที่มีฐานะยากจน ไม่ได้ร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐี แต่จะจัดงานกินเลี้ยงอาหารเฉพาะในหมู่บ้าน หรือไปมาหาสู่ภายในจังหวัด หรือไปแต่ในหมู่บ้าน เรียกได้ว่าทำบุญหรือบริจาคเท่าที่มีความสามารถ ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว

พวกเจาทั้งหลายจงยึดมั่นในเชือกของอัลลอฮ และอย่าได้แตกแยก (จากการยึดมั่นในศาสนาของอัลลอฮฺ)อัล อิมรอน: 103

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น