“รายอแน”
เป็นประเพณีอย่างหนึ่งของชาวมลายูมุสลิมใน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่อดีต ซึ่งเป็นประเพณีที่ไม่มีระบุในศาสนา
แต่เป็นวิถีที่มุสลิมมลายูในพื้นที่ถือปฏิบัติ
หลังจากที่ถือศีลอดในเดือนรอมฎอนเสร็จสิ้นแล้ว
ในศาสนาอิสลามส่งเสริมให้ถือศีลอดต่ออีก 6 วัน
ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจการถือศีลอด 6 วันนี้แล้ว ชาวมลายูมุสลิม 3
จังหวัดก็ถือโอกาสนี้เฉลิมฉลองอีกครั้งโดยการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษที่เสียชีวิต
โดยการอ่านอัลกุรอานและซิกรุลเลาะห์ (รำลึกถึงอัลลอฮฺ) โดยมักจะเลี้ยงอาหาร
เยี่ยมเยียนกูโบร์(สุสาน) ของบรรพบุรุษที่สำคัญเพื่อรำลึกถึงความตาย
บางพื้นที่ยังมีการทำความสะอาดบริเวณกูโบร์ร่วมกัน โดยเรียกวันนี้ว่า วัน “รายอแน”
ทั้งนี้ “วันอีด” หรือในพื้นที่รู้จักกันว่า
“ฮารีรายอ” ในหลักศาสนาอิสลามนั้นมี
2 วันเท่านั้น คือวัน “อีฎิ้ลฟิตรี”
ซึ่งเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองของการสิ้นสุดการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
ซึ่งตรงกับวันที่ 1 ของเดือนเชาวาล เป็นเดือนถัดไปจากเดือนรอมฎอนตามปฏิทินทางจันทรคติของอิสลาม
ส่วนวันอีดอีกวันหนึ่งคือ “อีฎิ้ลอัฎฮา” เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่มุสลิมส่วนหนึ่งจากทั่วทุกมุมโลกได้มีโอกาสไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครเมกกะ
ประเทศซาอุดีอารเบีย
โดยชาวมลายูใน 3 จังหวัดฯโดยเฉพาะที่ปัตตานีจะเฉลิมฉลองในวัน “รายอแน”
มากกว่าวัน“ฮารีรายอ อีฎิ้ลฟิตรี” ด้วยซ้ำ
ส่วนมุสลิมในพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศหรือต่างประเทศ จะไม่มีวัฒนธรรม “รายอแน”
แต่ก็จะมีกิจกรรมซึ่งต่างกันออกไปแต่ยังสอดคล้องกับหลักศาสนา ดังนั้นจึงน่าตั้งคำถามว่า
เหตุใดที่ชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูใน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงถือปฏิบัติประเพณีรายอแนเรื่อยมา
นูรุดดีน สารีมิง อาจารย์แผนกอิสลามศึกษา คณะวิทยาลัยอิสลามศึกษา
ม.อ.ปัตตานี กล่าวถึงวันอีดว่า “ความจริงแล้ว วันอีดในอิสลามนั้น มีแค่
2 วันเท่านั้น แต่สำหรับวันรายอแนนั้น เป็นประชามติของชาวบ้านที่ถือปฏิบัติกันมา
หลังจากที่ถือศีอดอีก 6 วันในเดือนเชาวาล ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ดี
ในอิสลามไม่ได้ห้ามอะไร โดยมีกิจกรรมหลัก ๆ คือ
การเยี่ยมกูโบร์ (สุสาน) ทำความสะอาด ระลึกถึงการตาย ซึ่งการเยี่ยมกูโบร์นั้น
ก็เป็นซุนนะฮฺ หรือแบบอย่างการปฏิบัติคำสอนของนบีมูฮัมหมัดและสิ่งที่ท่านยอมรับ
อับดุลการีม
หะยีอาซา ผู้จัดการสถาบันปอเนาะดารุสลาม อัลฟาตอนีย์ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี
อธิบายถึงประเพณีและคุณค่าของ “รายอแน”
ว่า “มีหะดิษหนึ่งกล่าวความว่า
ให้ถือศีลอดครบ 1 เดือนในเดือนรอมฎอน และถือศีลอดเพิ่มอีก 6 วันในเดือนเชาวาล
เพราะจะได้รับผลบุญเท่ากับถือศีลอด 1 ปี
หลังจากนั้นให้มีการสร้างความสัมพัธ์ระหว่างเครือญาติ หรือ ในภาษาอาหรับเรียกว่า
ซีลาตุลเราะฮีม เพราะในหะดิษกล่าวถึงคุณค่าถึงการปฏิสัมพันธ์กับญาติพี่น้อง
จะทำให้ บุคคลนั้นได้รับปัจจัยยังชีพโดยง่าย และที่สำคัญจะได้พ้นจากภัยร้ายทั้งปวง
และยังมีหะดิษหนึ่งบอกความว่า ใครที่ต้องการปัจจัยยังชีพโดยง่าย คือ ให้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ”
และอธิบายเพิ่มเติมว่า“ในวันดังกล่าวนั้น
มีกิจกรรมที่คล้ายคลึงกัน โดยการทำอาหารเลี้ยงกัน ซึ่งถือเป็นการบริจาคทาน
และมีกิจกรรมที่ต่างกับวันอีดปรกติคือ การเยี่ยมกูโบร์
ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ดี เพราะการเยี่ยมกูโบร์เป็นการระลึกถึงการตาย
และทำให้ “อีมาน” หรือ “ความศรัทธา”
ของเราเข้มแข็งมากขึ้น นอกจากนั้นแล้วในขณะที่เยี่ยมกูโบร์นั้น
ก็มีการอ่านอัลกุรอาน และรำลึกถึงอัลลอฮฺ และหะดิษหนึ่งได้บอกความว่า
ความดีของผู้ที่ถอนหญ้าในกูโบร์แค่ 1 เส้น จะได้รับผลบุญเท่ากับ 10
เส้น เพราะส่งผลทำให้คนที่เดินผ่านไปมา เห็นกุโบร์ที่สะอาดนั้นก็จะรู้สึกสบายใจ”
นายอับดุลการีม หะยีอาซากล่าว
อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าการเฉลิมฉลองของประเทศอื่น ๆ นั้น
จะใช้เวลานานเป็นสัปดาห์ อย่างประเทศ ซาอุดีอาระเบีย เพราะประเทศเหล่านี้มีฐานะร่ำรวย
บางคนถือโอกาสวันอีฎิ้ลฟิตรี เดินทางเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องถึงต่างประทศ
ทำให้ต้องใช้เวลานาน หรืออย่างประเทศมาเลเซีย
มีการเฉลิมฉลองวันฮารีรายอกันยาวนานนับเดือนซึ่งต่างกับคนไทยใน 3
จังหวัดที่มีฐานะยากจน ไม่ได้ร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐี แต่จะจัดงานกินเลี้ยงอาหารเฉพาะในหมู่บ้าน
หรือไปมาหาสู่ภายในจังหวัด หรือไปแต่ในหมู่บ้าน
เรียกได้ว่าทำบุญหรือบริจาคเท่าที่มีความสามารถ ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว
“พวกเจาทั้งหลายจงยึดมั่นในเชือกของอัลลอฮ และอย่าได้แตกแยก
(จากการยึดมั่นในศาสนาของอัลลอฮฺ)” อัล อิมรอน: 103
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น