“จะถือเป็นปลาน้ำจืดราคาแพงที่สุดในโลกหรือเปล่าไม่แน่ใจ
แต่ถ้าบอกว่าแพงที่สุดในอาเซียนน่าจะได้ ราคาซื้อขายในบ้านเราอยู่ที่ กก.ละ 2,000
บาท แต่ถ้าในฮ่องกง 8,000 บาท”
ดร.จูอะดี พงศ์มณีรัตน์ รองอธิบดีกรมประมง
กล่าวถึง “ปลาพลวงชมพู” ที่กรมประมง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา
ได้ศึกษาจนสามารถขยายพันธุ์ส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจตัวใหม่ได้แล้ว
เป็นปลาน้ำจืดประจำท้องถิ่น จ.ยะลา และ นราธิวาส
มีชื่อเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า อีแกกือเลาะห์ หรือปลากือเลาะห์
อยู่ในตระกูลเดียวกับปลาเวียน และปลาพลวงหิน
มีความโดดเด่นในสีของเกล็ดที่มีลักษณะเป็นสีชมพู ครีบหลังและครีบหางสีแดง
เป็นปลาพลวงชนิดเดียวที่รับประทานทั้งเกล็ด
นิยมบริโภคในประเทศแถบอินโดจีน โดยเฉพาะมาเลเซีย
ที่ยังไม่สามารถวิจัยเพาะขยายพันธุ์ได้ และมีกฎหมายห้ามจับจากธรรมชาติมารับประทาน
สาเหตุที่มีราคาสูงลิ่ว เพราะเป็นปลารสชาติดี
หาได้ยากอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์
“เราเริ่มทดลองเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2515
และมาศึกษาหาวิธีการขยายพันธุ์อย่างจริงจังเมื่อปี 2548
การเลี้ยงจะต้องเป็นพื้นที่มีน้ำไหลตลอดเวลา น้ำต้องมีปริมาณออกซิเจนสูงอย่างน้อย
6 ppm ขึ้นไป
ถ้าน้อยกว่านี้จะตายทันที ในขณะที่ปลาน้ำจืดชนิดอื่นยังสามารถมีชีวิตรอดได้
นอกจากนั้น ยังเป็นปลาที่ให้ไข่น้อย แค่ 500-1,000 ฟอง ต่างกับปลาน้ำจืดชนิดอื่นๆ
ให้ไข่ตั้งแต่หมื่นฟองขึ้นไปจนถึงแสนฟอง เลยเป็นเหตุให้เสี่ยงสูญพันธุ์ได้ง่ายในธรรมชาติ
และการนำมาผสมเทียมเพื่อขยายพันธุ์ยังยากกว่าปลาน้ำจืดชนิดอื่น
เนื่องจากระยะไข่สุกพร้อมที่จะผสมพันธุ์ได้ ไข่ที่มีอยู่น้อยแล้ว
ยังสุกแก่ไม่พร้อมกันอีก
นายนภดล จินดาพันธ์
ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา อธิบายถึงความยากของการขยายพันธุ์
เจ้าหน้าที่ต้องใช้ความชำนาญพิเศษ สังเกตระยะที่มีไข่สุกพร้อมมากที่สุด
ถึงจะทำได้สำเร็จ และส่งเสริมให้เกษตรกร 50 ราย ในพื้นที่ อ.ธารโต และ อ.เบตง
จ.ยะลา เลี้ยงในบ่อดิน
ต่อท่อตรงมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติและปล่อยให้ไหลผ่านระบายออกไป
โดยปล่อยลูกปลาขนาด 2-3 นิ้ว หนัก 20 กรัม
ในอัตรา 1-5 ตัวต่อพื้นที่บ่อ 1 ตร.ม. ให้อาหารปลาปลาดุกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
มื้อละ 2-3% ของน้ำหนัก ตัว...ใช้เวลาเลี้ยง ปีครึ่งถึงสองปี ถึงจะมีน้ำหนัก 2.3
กก. ได้ขนาดตรงความต้องการของตลาด
และจากการคำนวณต้นทุนค่าอาหาร ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา
บอกว่า ปลาพลวงชมพูให้ผลตอบแทนสูง มีอัตราแลกเนื้ออยู่ที่ 2-3 : 1
ถ้าจะเลี้ยงให้ได้ขนาด 2.3 กก. ใช้อาหารไม่เกิน 7 กก.
ฉะนั้นจะมีต้นทุนค่าอาหารแค่ตัวละ 210
บาท...แต่สามารถขายได้สูงถึง 4,600 บาท
เพื่อให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
ขณะนี้ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลากำลังอยู่ระหว่างศึกษาการเลี้ยงปลาพลวงชมพูในบ่อซีเมนต์ด้วยระบบน้ำหมุนเวียน...สนใจสอบถาม รายละเอียดได้ที่ 0-7329-7042
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น