การแสดงรองเง็ง
รองเง็ง
เป็นศิลปะเต้นรำพื้นเมืองของไทยมุสลิมในแถบสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ตลอดจนเมืองต่างๆของมาเลเซียตอนเหนือ
ล้วนเป็นที่นิยมทั่วไปและแพร่ไปถึงอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการเต้นรำที่มีความสวยงามทั้งลีลาการเคลื่อนไหวของเท้า
มือ ลำตัว และการแต่งกายคู่ชายหญิง
กล่าวกันว่า
การเต้นรองเง็งสมัยโบราณเป็นที่นิยมในบ้านขุนนางหรือหรือเจ้าเมืองในแถบสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เช่น ที่บ้านพระยาพิพิธเสนามาตย์ เจ้าเมืองยะหริ่ง สมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง
(พ.ศ. 2439-2448) มีการฝึกรองเง็งโดยหญิงสาวซึ่งเป็นข้าทาสบริวารฝึกรองเง็ง
เพื่อไว้ต้อนรับแขกเหรื่อในงานรื่นเริงหรืองานพิธีต่างๆเป็นประจำ
ผู้เต้นรองเง็งส่วนใหญ่แต่งกายแบบพื้นเมือง
โดย
ผู้ชาย
สวมหมวกหนีบไม่มีปีก หรือที่เรียกหมวกแขกสีดำ หรือที่ศีรษะอาจจะสวม “ชะตางัน” หรือโพกผ้าแบบเจ้าบ่าวมุสลิมก็ได้ นุ่งกางเกงขากว้างคล้ายกางเกงขาก๊วยของคนจีน
ใส่เสื้อคอกลมแขนยาวผ่าครึ่งอกสีเดียวกับกางเกง
ใช้โสร่งแคบๆยาวเหนือเข่าสวมทับกางเกง เรียก “ผ้าสิลินัง”
หรือ “ผ้าซาเลนดัง” มักทำด้วยผ้าซอแก๊ะ
ถ้าเป็นเจ้านายหรือผู้ดีมีเงินมักเป็นผ้าไหมยกดอกดิ้นทองดิ้นเงิน
ฐานะรองลงมาใช้ผ้าไหมเนื้อดีตาโตๆ ถัดมาเป็นผ้าธรรมดา
ผู้หญิง
ใส่เสื้อเข้ารูปแขนกระบอก เรียกเสื้อ “บันดง” ลักษณะเสื้อแบบเข้ารูปปิดสะโพก
ผ่าอกตลอด ติดกระดุมทองเป็นระยะ สีเสื้อสดสวยและเป็นสีเดียวกับ “ผ้าปาเต๊ะยาวอ” หรือ “ผ้าซอแก๊ะ” ซึ่งนุ่งกรอมเท้า
นอกจากนั้นยังมีผ้าคลุมไหล่บางๆสีตัดกับเสื้อที่สวม
เครื่องดนตรี
/ วิธีบรรเลง
ดนตรีที่ใช้บรรเลงมี
รำมะนา ฆ้อง และไวโอลิน ปัจจุบันยังเพิ่มกีตาร์ โดยให้เหตุผลว่า
เพื่อต้องการให้จังหวะชัดเจนและไพเราะขึ้นกว่าเดิม
ดนตรีรองเง็งถ้าประกอบเป็นวงใหญ่จะมีความไพเราะและชวนฟังมาก
รำมะนา
ฆ้อง
ไวโอลิน
กีตาร์
สำหรับวิธีบรรเลงนั้นเป็นเพลงจังหวะรองเง็ง
ซึงมีผู้รู้จักและนิยมเต้นส่วนใหญ่ มีจำนวน 7 เพลง คือ เพลงลาฆูดูวอ เพลงลานัง
เพลงปูโจ๊ะบีซัง เพลงซินตาซายัง เพลงอาเนาะดีดิ เพลงมะอีนังชวา และเพลงมะอีนังลามา
เพลงที่ยืนโรงและรู้จักกันดีมีสองเพลง คือ เพลงลาฆูดูวอและเพลงมะอีนังลามา
เป็นเพลงที่เต้นกันมาตั้งแต่โบราณ ส่วนเพลงเพลงมะอีนังชวา ปูโจ้ะบีซัง ลานัง
และจินตาซายัง เหมาะแสดงหมู่ ส่วนเพลงลาฆูดูวอและมะอีนังลามา
เหมาะสำหรับผู้ชำนาญและแสดงลวดลาย
การเต้นรองเง็งส่วนใหญ่มีชายและหญิงฝ่ายละ 5 คน
โดยเข้าแถวแยกเป็นชายแถวหนึ่งและหญิงแถวหนึ่ง ยืนห่างกันพอสมควร
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าการเต้นแบบนี้ต้องใช้ลีลามือ เท้า และส่วนลำตัว
เคลื่อนไหวไปข้างหน้าข้างหลังให้เข้ากับดนตรี อีกประการหนึ่งมีผู้ให้ความเห็นว่า
ความสวยงามและความน่าดูของศิลปะรองเง็งอยู่ที่การใช้เท้าเต้นให้เข้ากับจังหวะ
ส่วนการร่ายรำเป็นเพียงองค์ประกอบ
โอกาสที่ใช้แสดง
เดิมรองเง็งใช้แสดงในการต้นรับแขกเมืองในงานพิธีต่างๆ ต่อมานิยมแสดงในงานรื่นเริง
งานประจำปี
ขนมธรรมเนียมการแสดง
เมื่อเริ่มการแสดงฝ่ายชายโค้งฝ่ายหญิง
การเต้นรองเง็งของไทยมุสลิมเป็นการเต้นที่สุภาพ ไม่มีการถูกเนื้อต้องตัวกัน
แต่มีความสนุกสนาน ไม่ถึงขั้นจูบกันดังรองเง็งชวา ดังบทพระราชนิพนธ์ข้างต้น
เพลงรองเง็ง
เพลงรองเง็งมีผู้รู้จังหวะและนิยมเต้นส่วนใหญ่มีจำนวน 7
เพลง คือ เพลงลาฆูดูวอ,เพลงลานัง,เพลงปูโจ๊ะปีซัง,เพลงซินตาซายัง,เพลงอาเนาะดีดิ,เพลงอีนังชวาและเพลงมะอีนังลาวา
เพลงที่ยืนโรงและรู้จักกันดีมี
2 เพลง คือ
เพลงลาฆูดูวอ และเพลงมะอีนังลาวา
เป็นเพลงที่เต้นกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ส่วนเพลงมะอีนังชวา
เพลงปูโจ๊ะปีซัง เพลงลานัง และจินตาซายัง
เหมาะสำหรับแสดงหมู่
ส่วนเพลงลาฆูดูวอ และมะอีนังลามา เหมาะสำหรับผู้ชำนาญ และแสดงลวดลาย
การเต้นรองเง็งส่วนใหญ่มีชาย
และหญิงฝ่ายละ 5 คน
โดยเข้าแถวแยกเป็นชายแถวหนึ่งหญิงแถวหนึ่งยืนห่างกันพอสมควร
ดังที่กล่าวแล้วว่าการเต้นแบบนี้ต้องใชลีลามือเท้าและส่วนลำตัวเคลื่อนไหวไปข้างหน้าข้างหลังให้กับดนตรี อีกประการหนึ่งมีผู้ให้ความเห็นว่า ความสวยงาม
และความน่าดูของศิลปะรองเง็งอยู่ที่การใช้เท้าเต้นให้เข้าจังหวะ ส่วนการร่ายรำเป็นการเพียงองค์ประกอบ
เนื้อเพลงและจังหวะการเต้น
เกี่ยวกับเนื้อเพลงและลักษณะการอธิบายลักษณะการเต้นที่จะแนะนำต่อไปนี้
ได้รับความอนุเคราะห์จากผู้ฝึกรองเง็งที่มีชื่อเสียงของจังหวัดยะลา ดังเช่น
1.เพลงลาฆูดูวอ เพลงนี้เป็นเพลงท่าเต้น ถ้าจะแปลก็หมายถึง”เพลงที่สองไม่มีความหมายมากมายนัก จังหวะการเต้นเมื่อดนตรีขึ้นเพลง ฝ่ายชายจะโค้งฝ่ายหญิง แล้วสองฝ่ายจะเดินมากลางวงยืนหันหน้าเข้าหากัน และเริ่มด้วยการเล่นเท้าอยู่กับที่
จากนั้นแสดงลวดลายด้วยการเต้นเท้าเข้าหากัน เต้นถอยหลัง
และเต้นตามกัน
ฝ่ายหญิงรุกชิดๆกัน
หญิงจะเป็นฝ่ายถอยและหมุนจนเกือบจบเพลง
เพลงจะเปลี่ยนเป็นจังหวะเร็ว
ทุกคู่เปลี่ยนท่าเต้น ถึงตอนนี้
ใครไม่ชอบจังหวะเร็วจะเลิกก่อนก็ได้ ใครที่ถนัดเต้นก็เต้นต่อไปจนจบเพลง ความสวย
และความน่าดูของเพลงนี้อยู่ตรงตอนจังหวะเร็วนี้เอง
2.เพลงลานัง ความหมายของชื่อเพลงนี้ หมายถึงน้ำที่สะอาดที่ไหลหยด หรือหมายถึงน้ำตาที่ไหลด้วยความปลื้มปิติ จังหวะการเต้น
เพลงลานัง มี 2 จังหวะ คือจังหวะช้า
และเร็ว
ดนตรีเล่นซ้ำสองเที่ยว
เร็วสองเที่ยว จังหวะเป็นการเต้นทั้งสองฝ่ายเข้าหากัน และนั่งลงในจังหวะเร็วทั้งคู่นั่งสลับกัน
ฝ่ายชายตบมือ
ฝ่ายหญิงนาดแขนให้เข้าจังหวะเพลง และหมุนกลับในท่อน 2
ของจังหวะเร็ว จบจังหวะเร็ว แล้วขึ้นจังหวะช้าสวนกันไปมา นั่งสลับจนจบเพลงความสวยงาม และน่าดูของเพลงนี้อยู่ตรงตอนนั่งและหมุนตัวกลับสลับกัน
3.เพลงปูโจ๊ะปิซัง ความหมายชื่อเพลงหมายถึง “ยอดตอง” เปรียบเหมือนยอดแห่งความรักที่กำลังสดชื่นจังหวะการเต้น เมื่อดนตรีขึ้นเพลงแล้ว
ฝ่ายชายจะโค้งฝ่ายหญิงให้ตรงกับจังหวะท่าเล่นเท้ากับที่ เมื่อหมดจังหวะเล่นเท้า
ฝ่ายชายจะหมุนตัวหันหลังไปคนละฟากกับฝ่ายหญิงพอดี
ถึงจังหวะท่าเล่นเท้ากับที่
ฝ่ายหญิงและชายจะเล่นเท้าพร้อมกัน
จบเพลงจะหมุนตัวเต้นสวนกันไปมา
และมาได้จังหวะเล่นเท้าในระยะชิดกันสลับกันจนจบเพลง
เพลงนี้เป็นเพลงบังคับการเล่นเท้าในไปในตัวถึงตอนเล่นเท้ากับที่จะเต้นไปมาด้วย ฉะนั้น
ผู้จะเต้นเพลงนี้ต้องใช้ความจำบทเพลงด้วย
เพราะเพลงนี้เป็นเพลงบังคับการเต้นให้ถูกตามแบบ เต้นเปะปะไม่ได้
ความน่าดูของปูโจ๊ะปิซังอยู่ที่จังหวะเล่นเท้า และการหมุนตัว
4.เพลงจินตาซายัง ความหมายของชื่อเพลงนี้ หมายถึง
ความสำนึกในความรักอันดูดดื่ม
จังหวะการเต้นจะเริ่มต้นด้วยเพลงช้า
2 เที่ยว แล้วเปลี่ยนเป็นจังหวะเร็ว ฝ่ายชายนั่งตบมือ ฝ่ายหญิงเดินวนรอบฝ่ายชาย
จบเพลงจังหวะเร็วแล้วเปลี่ยนเป็นจังหวะช้า
ฝ่ายชาย
และหญิงเปลี่ยนท่าเต้นอยู่กับที่เช่นเดิม
หลังจากนั้นดนตรีเปลี่ยนเป็นจังหวะเร็ว
ฝ่ายหญิงนั่งตบมือ
ฝ่ายชายเดินวนรอบฝ่ายหญิง
จบจังหวะเร็วแล้วก็เต้นจังหวะอยู่กับที่เช่นเดียวกัน ผลัดเปลี่ยนกันเช่นนี้จนจบเพลง
5.เพลงอาเนาะดีดิ ความหมายของชื่อเพลง หมายถึง ลูกบุญธรรม
หรือลูกสุดที่รักจังหวะการเต้น
เริ่มด้วยเพลงจังหวะเร็ว
ต่างฝ่ายต่างเต้นเข้าหากัน
เมื่อพบกันกลางวงต่างหมุนตัวกลับตรงจังหวะเพลงพอดี เสร็จแล้วต่างฝ่ายต่างเต้นถอยกลับที่เดิม
เต้นเข้าหากันอีกเมื่อถึงกลางวงต่างหมุนตัวหันหน้าเข้าหากัน แล้วถอยสลับไปคนละที เริ่มต้นใหม่เหมือนเดิม
6.เพลงมะอีนังชวา ความหมายของชื่อเพลง หมายถึงแม่นม
หรือพี่เลี้ยงชาวชวา
เพลงและท่ารำนั้นเดิมมาจากชวา จึงเรียนมะอีนังชวา จังหวะการเต้น
เมื่อเริ่มเพลงฝ่ายชาย และหญิงใช้มือแสดงท่ารำนิดหน่อย เพลงนี้จังหวะเนิบนาบมาก ทั้งสองฝ่ายรำเข้าหากันที่กลางวงเป็นครึ่งวงกลม และถอยหลังกลับ เท้าเต้น
และมือรำเข้ากลางวงซ้ายทีขวาทีจนจบเพลงความน่าดูของเพลงนี้ตรงเข้าครึ่งวงกลม และถอยหลังกลับ
7.เพลงมะอีนังลามา ความหมายของชื่อเพลง หมายถึง แม่นม หรือพี่เลี้ยงเป็นเพลงเก่าแก่
(ลามา หมายถึง เก่าแก่) แต่บางท่านบอกว่าเพลงนี้ยังมีชื่อ
กึมบังจีนาหมายถึงดอกพุดกำลังแย้มกลีบบาน
จังหวะการเต้น
เมื่อดนตรีขึ้นเพลง
ฝ่ายชายจะโค้งคู่เต้นพร้อมกับมอบผ้าเช็ดหน้าให้แก่ฝ่ายหญิง
พร้อมกับขอผ้าคลุมไหล่ของฝ่ายหญิงมาคลุมไหล่ตนเอง จากนั้นก็วาดลวดลายด้วยการต้อนคู่เต้น ฝ่ายหญิงจะใช้ผ้าเช็ดหน้าจับสองชายไว้ ขณะเดียวกันก็เต้นหลบ เพราะฝ่ายชายกำลังต้อน และเต้นป้อ
ส่งสายตาแบบเจ้าชู้
เพลงนี้ฝ่ายชายที่เต้นเก่ง
และชำนาญจะวาดลวดลายต้อนฝ่ายหญิงน่าดูทีเดียว
ถ้าจะแบ่งระดับ หรือประเภทรองเง็ง แบ่งได้ดังนี้
ก.ประเภทที่ 1
แบบผู้ดีตระกูลสูง จะเน้นความสุภาพ ความอ่อนช้อย
ข.ประเภทที่ 2 แบบชนชั้นกลาง เต้นไม่หยาบโลน หรือไม่สุภาพจนเกินไป แต่รักษาศิลปะไว้เต็มที่
ค.ประเภทที่ 3
แบบชนชั้นต่ำ
ออกหยาบโลน มิได้เน้นศิลปะเหมือนรองเง็งเมืองมารุตในบทพระราชนิพนธ์
ดังกล่าวข้างต้น
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะบริเวณสี่จังหวัดภาคใต้ ชาวบ้านขายยางพาราร่ำรวย เพราะสมัยนั้นราคายางพาราสูงมาก
ตกกลางคืนชาวบ้านสนุกสนานกันด้วยการเต้นรองเง็งในภาคใต้ มีคณะรำวงกันคับคั่ง ปัจจุบันการเต้นรองเง็ง
เป็นที่นิยมของไทยมุสลิม
มักมีการแสดงยิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น