นับแต่ค่ำวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ประชาชนชาวไทยทุกฐานถิ่น
ตั้งแต่เหนือไปจนจรดชายแดนใต้ปกคลุมไปด้วยความโศกสลด
และเสียงร่ำไห้อาลัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ...จนถึงวันนี้
พสกนิกรไทยทั้งมวลสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า ไม่มีพื้นที่ไหนที่พระองค์ไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินไปถึง
เป็นเวลายาวนานถึง 70 ปี
ตลอดรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงงานอย่างหนัก
ณ ที่แห่งหนตำบลใดประชาชนอยู่อาศัยกันด้วยความยากลำบาก พระองค์มิทรงนิ่งเฉย
ทรงช่วยเหลือ แก้ปัญหาให้ราษฎร โดยไม่หวั่นกลัว ไม่ท้อถอยต่อภยันตรายใดๆ ดังนั้นพระองค์จึงเป็นที่รักของราษฎรทั่วทั้งประเทศไม่ว่านับถือศาสนาพุทธ
คริสต์หรืออิสลาม มีภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
สามจังหวัดชายแดนใต้นอกจากประชาชนอยู่กับความยากจนแล้วยังต้องอยู่
กับความหวาดกลัวมาเป็นเวลานาน แต่ในความน่ากลัวอันตรายที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้น
ยังมีพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย
ทรงบากบั่นเยี่ยมราษฎรของพระองค์ด้วยความลำบากโดยปราศจากความหวาดกลัว
ทรงห่วงใยพสกนิกรมุสลิมในภาคใต้เป็นพิเศษ ทรงเสด็จฯแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ
พระตําหนักทักษิณราชนิเวศน์เป็นประจําทุกปี เสด็จฯไปทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกรมุสลิมในท้องถิ่นทุรกันดารห่างไกลให้ราษฎรได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิดและทรงสอบถามถึงทุกข์-สุขของราษฎร
พระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริเพื่อพัฒนาอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร
ความห่วงใยของพระองค์นำมาซึ่งเรื่องเล่าและเรื่องราวแห่งความรักในหัวใจชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีต่อพระองค์
“รักถึงเพียงนี้” และ “จุดเทียนส่งเสด็จ”
บทความชื่อ “แผ่นดินร่มเย็นที่นราธิวาส”
ตีพิมพ์ในนิตยสาร “สู่อนาคต” ฉบับพิเศษเนื่องในวันเฉลิมฯ
ได้เล่าย้อนให้เราได้เห็นภาพความยากลำบากในการเสด็จฯ
เยี่ยมราษฎรทางภาคใต้เมื่อหลายปีก่อน
โดยเฉพาะช่วงก่อนสร้างพระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์นั้น เป็นที่รู้กันว่าจังหวัดนราธิวาสชุกชุมไปด้วยโจรร้าย
โจรปล้นสะดมและพวกโจรเรียกค่าไถ่ ถึงขนาดที่ในหลายๆ หมู่บ้านนั้น
แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป
ทว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักในทุกข์อันลึกล้ำของชาวบ้านที่ทั้งทุกข์เพราะยากจน
และทุกข์เพราะภัยคุกคาม จึงได้เสด็จฯ
ลงไปเยี่ยมเยียนเป็นขวัญกำลังใจให้ราษฎรของพระองค์โดยไม่ทรงหวาดหวั่น
บางวันถึงกับเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์โดยปราศจากกำลังอารักขา
และบางหมู่บ้านตำรวจเพิ่งถูกคนร้ายแย่งปืนแล้วยิ่งตายก่อเสด็จไปถึงเพียงไม่
กี่ชั่วโมง ทรงรักราษฎรถึงเพียงนี้ จึงไม่แปลกที่หญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่งของอำเภอรือเสาะจะเข้ามาเกาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร้องไห้แล้วบอกว่า
“ไม่นึกเลยว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไทยชาวพุทธ จะมารักมุสลิมได้ถึงขนาดนี้…”
บทความเดียวกันได้เปิดเผยต่อไปอีกว่า
ที่อีกหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอเดียวกันนั้น
โต๊ะครูได้พาพรรคพวกมายืนรอรับเสด็จแล้วพูดขึ้นว่า “..รายอกลับไปเถอะ
ประไหมสุหรีกลับไปเถิด ประเดี๋ยวพวกโจรจะลงจากเขา…” และเมื่อถึงเวลาเสด็จฯ
กลับที่มืดสนิทอย่างน่ากลัว
โต๊ะครูกับชาวบ้านก็พากันมาจุดเทียนส่งเสด็จตลอดเส้นทางอันตราย ด้วยความห่วงใยใน
“รายอ” และ “ประไหมสุหรี” หรือ พระราชาพระราชินีของพวกเขาอย่างสุดซึ้ง
เมื่อคราวพระองค์เสด็จพระราช ดำเนินลงพื้นที่
ต.ปะเสยะวอ อ.สายบุรีเพื่อทรงทอดพระเนตรพื้นที่เพื่อสร้างโครงการพัฒนาพรุแฆแฆ
และเพื่อขุดคลองชลประทานเพื่อการเกษตรและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เมื่อปี 2535 “วาเด็ง ปูเต๊ะ” หรือ
“เป๊าะเด็ง” ผู้เฒ่าชาวสวนผลไม้แห่ง ลุ่มน้ำสายบุรี
ประสบกับบุรุษนิรนามกลางสวนทุเรียนในพลบค่ำเดือนกันยายน 2535 ก่อนที่เขาจะรู้ว่ามหาบุรุษเบื้องหน้าคือพระเจ้าแผ่นดิน หรือ “รายอ”
ที่เคยได้ยินแต่ชื่อ นายวาเด็งพายเรือให้พระองค์ประทับเพื่อสำรวจ คลองสายทุ่งเค็จ
พระองค์มีพระราชดำรัสถาม
พร้อมเปิดแผนที่เพื่อให้รู้ว่าจะสร้างแหล่งชลประทานอย่างไร ตอนพายเรืออยู่ ในหลวง
ตรัสด้วยว่า “ให้วาเด็งทำตัวให้สบาย...มีอะไรที่ชาวบ้านเดือดร้อนก็ให้เล่ามาตามความจริง”
นายวาเด็งจึงกราบทูลในหลวง ว่าเมื่อถึงเวลาหน้าฝน น้ำจะท่วม ทำนาไม่ได้
เมื่อถึงหน้าแล้ง ก็ทำนาไม่ได้ เพราะไม่มีน้ำทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน จากนั้น ในหลวง
คงจะทรงลองใจนายวาเด็ง จึงตรัสถามขอที่ดินเพื่อทำโครงการพระราชดำริ
ด้วยความปลาบปลื้มนายวาเด็งจึงขอยกที่ดินถวายให้พระองค์ทันที
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงแย้มพระสรวล และมีพระราชดำรัสว่าให้นายวาเด็งเป็น “พระสหาย”
ตั้งแต่บัดนั้น ในหลวง ตรัสเรื่องนี้ว่า “วาเด็งเป็นคนซื่อตรง...จึงขอแต่งตั้งให้วาเด็งเป็นเพื่อนของในหลวง”
พร้อมทรงชวนให้นายวาเด็งและภรรยาเดินทางไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ และเมื่อพระองค์เสด็จฯ
มาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ตรัสเรียกให้เข้าเฝ้าที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ทุกครั้ง
ยังมีตํานาน “ปลาร้องไห้ที่บ้านปาตาตีมอ”
และอีกหลายร่องรอยความทรงจำของผู้คนในถิ่นที่พระองค์เสด็จไปเยี่ยมเยียน
หรือนับร้อยนับพันเรื่องราว แทบทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินไทยล้วนได้รับพระเมตตาในการพลิกฟื้นจากร้อนแล้งแห้งผาก
ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ ฉ่ำเย็น และผาสุก
ไม่เว้นแม้แต่พื้นที่ที่ใครหลายคนรู้สึกว่าเป็นพื้นที่อันตรายอย่างสามจังหวัดชายแดนใต้
ไม่เพียงพระองค์ได้ทรงแปรพระราชฐานไปบ่อยครั้ง แต่ยังพระราชทานยุทธศาสตร์ “เข้าใจ
เข้าถึง พัฒนา” ที่ทุกภาคส่วนน้อมนำมาเป็นหลักชัยในการสถาปนาสันติสุขบนแผ่นดินปลายด้ามขวานอีกด้วย
และนั่นคือหัวใจของการคลี่คลายทุกปัญหา
ดั่งน้ำฝนเย็นชื่นใจที่หลั่งลงมาจากฟากฟ้าให้พสกนิกรของพระองค์อยู่เย็นเป็นสุข
เสด็จสู่สวรรคาลัย ผองพกนิกรชาวไทยน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิจนิรันดร์…
ขอบคุณข้อมูลจาก www.southdeepoutlook.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น