วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560

“โรคหัด” ระบาดในปัตตานี 2 เดือนแรกปีนี้ป่วยแล้ว 128 ราย โดยเฉพาะเด็กเล็ก 1-6 ขวบ แนะผู้ปกครองฉีดวัคซีนตามกำหนดและเฝ้าระวังทั้งในบ้านและโรงเรียน

นางสาวสมพิศ ซี่ซ้าย หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานีกล่าวกับสถานีวิทยุ ม.อ.ปัตตานีว่า สถานการณ์โรคหัดในปัจจุบันในจังหวัดปัตตานีมีผู้ป่วยที่เป็นโรคหัดตั้งแต่เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2560 จำนวน 128 ราย ถือว่าเป็นจำนวนที่มากถึงขึ้นระบาด และเฝ้าระวัง แต่ยังไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิต จึงขอเชิญชวนให้พ่อ แม่ ผู้ปกครองนำบุตรหลานไปรับวัคซีนป้องกันโรคหัดให้ครบตามกำหนด ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน ครั้งที่ 2 เมื่อเด็กอายุ 2 ปี ครึ่ง โดยให้ในรูปของวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน
นางสาวสมพิศ กล่าวต่อไปว่า โรคหัดเป็นโรคไข้ออกผื่น พบได้ทุกวัย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก อายุ 1-6 ปี สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งพบได้ในจมูกและลำคอของผู้ป่วย ติดต่อกันได้ง่ายมากด้วยการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด เชื้อไวรัสจะกระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย และเข้าสู่ร่างกายโดยทางการหายใจ บางครั้งเชื้ออยู่ในอากาศเมื่อหายใจเอาละอองที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสเข้าไปก็ทำให้เป็นโรคได้ ถ้าไม่มีภูมิต้านทาน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และปัจจุบันพบผู้ป่วยเป็นเด็กที่มีอายุ 5 ปี ขึ้นไปมากขึ้น นอกจากนี้โรคหัดยังอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
info9_dpc11measles 1
สำหรับอาการของโรคหัด เริ่มด้วยมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ตาแฉะและกลัวแสง อาการต่าง ๆ จะมากขึ้นพร้อมกับไข้สูงขึ้น และจะสูงขึ้นเต็มที่เมื่อมีผื่นขึ้นในวันที่ 4 ลักษณะผื่นนูนแดงติดกันเป็นปื้น ๆ โดยจะขึ้นที่หน้า บริเวณชิดขอบผม แผ่กระจายไปตามลำตัว แขน ขา เมื่อผื่นแพร่กระจายไปทั่วตัว ซึ่งกินเวลาประมาณ 2-3 วัน ไข้ก็จะเริ่มลดลง ผื่นระยะแรกมีสีแดงจะมีสีเข้มขึ้นเป็นสีแดงคล้ำ หรือน้ำตาลแดง บางครั้งจะพบผิวหนังลอกเป็นขุย  การตรวจในระยะ 1-2 วัน ก่อนผื่นขึ้นจะพบจุดขาว ๆ เล็ก ๆ มีขอบสีแดง ๆ อยู่ในกระพุ้งแก้ม จะช่วยให้วินิจฉัยโรคได้ก่อนที่จะมีผื่นขึ้น อาการแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยมากโดยเฉพาะในเด็กเล็กคือ หูส่วนกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ สมองอักเสบ อุจจาระร่วง  ซึ่งจะทำให้มีความพิการเหลืออยู่ ถ้าไม่เสียชีวิต
ทั้งนี้การป้องกันโรคหัดนอกจากการรับวัคซีนป้องกันโรคให้ครบตามกำหนดแล้ว ยังต้องเฝ้าระวัง ป้องกันไม่ให้ตนเองหรือบุตรหลานได้รับเชื้อ โดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย สำหรับในโรงเรียนอนุบาลหรือเด็กชั้นเด็กเล็ก ถ้าครูพบเด็กที่สงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคหัด หรือมีอาการหวัด ตาแฉะ และไอมาก ควรจะได้ให้เด็กหยุดเรียนเพื่อป้องกันการติดต่อไปยังเด็กร่วมชั้นเรียนคนอื่นๆ
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคหัดสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อสามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น