มัสยิดกลางยะลา
ศูนย์ข่าวอิศรา - “ตลาดเก่า” เป็นย่านที่รับรู้กันโดยทั่วไปของชาวเมืองยะลาว่าหมายความถึง
ย่านชุมชนเก่าของชาวมุสลิมที่อยู่ในเขตเทศบาลนครเมืองยะลา
มีเส้นทางรถไฟคั่นกลางระหว่างกลางเมืองยะลากับตลาดเก่าอย่างชัดเจน
สำหรับในช่วงวันปกติย่านตลาดเก่าแห่งนี้ก็มีผู้คนมาเดินจับจ่ายซื้อของเป็นจำนวนมาก
ยิ่งเดือนรอมฎอนอย่างในทุกวันนี้ จะมีผู้คนมาจับจ่ายซื้อของมากกว่าเดิมมากกว่าปกติ
เพราะที่นี่มีการอาหารหลากหลาย
ในขณะที่ผู้คนที่มาซื้อและมาขายเองก็มีความแตกต่างหลากหลายไม่แพ้กัน
บรรยากาศ ตลาดเก่าเริ่มคึกคักตั้งแต่ช่วงเวลาบ่ายโมงแก่ๆ
จนถึงเวลาเย็นๆ ของทุกวันช่วงเทศกาลรอมฎอน
เต็มไปด้วยสีสันจากอาหารทั้งกับข้าวและของหวาน
ซึ่งบรรดาลูกค้าได้เข้ามาช่วยแต่งเต็มสีสันให้เต็มรูปแบบ
ทำให้ตลาดเก่าคึกคักเป็นพิเศษ
ผิดกับช่วงเวลาตอนเช้าซึ่งละแวกนี้เป็นแค่ริมฟุตบาทที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรน่าสนใจ
มีเพียงรถเข็นเก่าๆ จอดอยู่บนฟุตบาทไร้ผู้คนเดินไปมา
ลูกชุบ ทองยิบ ทองหยอด ขนมหม้อแกง บัวลอย
และของหวานพื้นบ้านพื้นเมืองอีกหลายหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็น “อาเกาะ” ที่มีรสชาติของไข่กับแป้งที่ถูกเผาหอมหวล
ในทรงสี่เหลี่ยมราบและรูปดาว “ตีรี” เป็นขนมที่ทำมาจากแป้งชุบไข่ทอดเคล้ากับน้ำตาลแว่นเคี้ยวอร่อยนัก
“นาซิกายอ” หรือข้าวเหนียวอัดแผ่นกับสังขยาไข่เป็นก้อนสีเหลียมเล็กๆ
และบรรดาขนมของหวานที่ค่อนข้างคุ้นเคยครัวไทยอีกมากมาย ไม่พักต้องพูดถึง “กับข้าว” อีกกว่าสิบอย่างที่ถูกวางเรียงรายบนรถเข็นอย่างสวยงาม
ง่ายในการเลือกซื้อและสะดวกในการหยิบจับ
ร้านรวงเหล่านี้มีร้อยเรียงอยู่ทั้งริมถนนใหญ่และในซอยย่อย
ที่เริ่มต้นจากริมฟุตบาทแทบชานเมือง
เรื่อยมาจนถึงหอนาฬิกาใหญ่หน้ามัสยิดกลางจังหวัดยะลาซึ่งพลุกพล่านเป็นพิเศษ
กระทั่งถึงเนินทางเดินรถไฟ กินระยะทางได้ในราวกิโลเมตรกว่าๆ
เวลาละศีลอดในวันนี้
จะเริ่มต้นในเวลาหกโมงสี่นาที แต่ชั่วโมงยังไม่ถึง 6โมงเย็นดี สีสันบนแผงขายของที่ละลานไปด้วยขนมของหวานกว่า 20 อย่างก็เริ่มร่อยหรอ แม่ค้ามาจาก “บ้านยุโป”
อันเป็นหมู่บ้านชานเมืองแห่งหนึ่งของอำเภอเมืองยะลา
เริ่มเก็บของกลับบ้านอย่างใจเย็น
“ยังไม่ถึง 6 ชั่วโมงก็ขายของหมดแล้ว ก๊ะ (พี่สาว)
เริ่มขายมาตั้งแต่ก่อนเข้าเดือนรอมฎอน 2 – 3 วัน
เพื่อให้ลูกค้าได้รู้จักร้านก่อน เพราะเราไม่ได้ขายในช่วงปกติเดือนทั่วไป
ตอนนี้คนเริ่มรู้จักกันแล้ว ของขายได้ดีมาก”
กลุ่มชาวบ้านที่เดินทางไกลมาจากอำเภอธารโตหลายคน
แวะพักเลือกอาหารละศีลอดยามเย็นหลังเสร็จธุระกับทางราชการ บอกกับเราว่า
ชอบมาซื้อของหวานที่ตลาดเก่าบ่อยมาก โดยเฉพาะ “ของหวานที่วางขายหน้ามัสยิดกลาง”
และ “กับข้าวหน้าซอยมุสลิม”
แม้จะมีทุกอย่างให้เลือกซื้อและแตกต่างหลากหลาย
แต่ลูกค้าบางรายก็มีเป้าหมายเฉพาะที่ประทับใจในรสชาติที่ถูกลิ้น คุ้นกลิ่น
หรือแม้แต่บริการที่ดีของแม่ค้า
นามี สาแม สาวรุ่นจาก “บ้านนะกูโบ้” ซึ่งห่างจากตลาดเก่าไปทางชานเมืองราว 2 กิโลเมตร
ขับมอเตอร์ไซค์พร้อมหอบหิ้วน้องชายซ้อนท้ายมาทุกวันโดยใช้เวลาไม่ถึง15 นาที เธอก็มีกับข้าวพร้อมของหวานเรียบร้อยแล้ว เธอเล่าว่า
มาซื้อกับข้าวสำเร็จรูปที่ตลาดเก่าทุกวันเป็นกิจวัตรด้วยหวังความสะดวก
แต่หากซื้อกับข้าวจากตลาดกลับไปปรุงที่บ้าน อาจทำให้ต้องเสียเวลาไปมาก
ที่สำคัญคือเหนื่อย ยิ่งเฉพาะในช่วงเย็นของเดือนรอมฎอนด้วยแล้ว ซื้อกินเป็นดีกว่า
“ซื้อของหวานและกับข้าวที่เสร็จแล้วจะดีกว่า
ประหยัดและไม่เสียเวลา” เป็นเหตุผลที่เธออธิบายให้เรา
ส่วน วิชิด จีนากุล ราษฎรชาวพุทธจาก “บ้านตาชี” อำเภอยะหา
บอกกับเราขณะเลือกซื้อขนมหวานว่า ชื่นชอบเทศกาลถือศีลอดของพี่น้องชาวมุสลิมมาก
อาจจะด้วยเพราะบ้านที่อยู่อำเภอยะหามาหลายสิบปี
มีความสัมพันธ์กับมุสลิมมาก็นานเทียบเท่ากับจำนวนอายุ
หรืออาจเป็นเพราะเดือนรอมฎอนทั้งเดือนยังเต็มไปด้วยของหวานและกับข้าวที่แปลกหูแปลกตากว่าปกติ
เพราะในช่วงเดือนปกติอาจหาซื้อได้ยากและไม่เยอะเท่าในเดือนนี้
ที่สำคัญอาหารที่วางขายในท้องตลาดได้แข่งขันกันตกแต่งสีสันอย่างสวยงามดูน่าทานเป็นที่สุด
“อยากให้มุสลิมถือศีลอดตลอดปี”
เขากล่าวอย่างครื้นเครงทำนองว่าจะได้กินของอร่อยตลอดทั้งปี
วิชิด เล่าย้อนไปว่า
ใกล้กับสวนยางของเขาที่ บ้านขวานฟ้า ในอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา
ครอบครัวชาวมุสลิมที่คุ้นเคยกันดีของ “มะจูเนาะ”
ชาวอำเภอยะหาที่เข้ามาปลูกเพิงพักในสวนยางข้างๆ
เพื่อพักเว้นระหว่างเข้ามากรีดยาง พอถึงช่วงเทศกาลเดือนรอมฎอนในทุกปี
ยามเขาเดินผ่านหน้าเพิงพักหลังนั้นทีไร “ มะจูเนาะ” ผู้คุ้นเคยต้องตักกับข้าวและของหวานให้ทุกครั้ง
เรียกได้ว่าเกือบทุกวันตลอดทั้งเดือนรอมฎอน
เขาเล่าต่อว่า
บางวันจะได้กินข้าวสวยกับแกงมัสมั่น บางครั้ง “มะจูเนาะ”
จะแบ่ง “นาซิกาบูดาฆะ” หรือ
“ข้าวยำพื้นบ้าน” รสชาติที่ต่างไปจากข้าวยำธรรมดาและที่สำคัญคืออร่อยมาก
เรียกได้ว่าเป็นอาหารจานโปรดของเขาเลยทีเดียว
แม้ว่าจะซื้อเครื่องมาปรุงเองก็ไม่เหมือนฝีมือของมะจูเนาะ
“หากไม่ใช่เดือนรอมฎอน
ผมคงไม่ได้กินของอร่อยๆ จากมะจูเนาะหรอก แกไม่ค่อยทำกับข้าวกินกัน นานๆ ครั้ง”
เขากล่าวถึงความประทับใจต่อครอบครัวมุสลิมที่สัมผัสผ่านเดือนรอมฎอนของพวกเขา
เขาเล่าว่า “มะจูเนาะ”และครอบครัวไม่ใช่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา
ย้อนกลับไปในวัยเด็กในอำเภอยะหา เขายังเคยไปเที่ยวเล่นบ้าน “มะจูเนาะ”ที่บ้านเจาะกลาดี อำเภอยะหาในช่วงเดือนรอมฎอน
เขายังเคยถือศีลอดและลุกขึ้นตื่นกินข้าวหัวรุ่งกับสมาชิกในบ้าน “มะจูเนาะ” อย่างคุ้นเคย
“ตอนนั้น
เวลากลางวันก็อดเหมือนกับเขาทุกอย่าง แต่ก็แอบกินน้ำไม่ให้ใครเห็นตามประสาเด็ก
เมื่อถึงเวลาละศีลอดในช่วงเวลาตะวันลับฟ้าตอนเย็น
ก็จะเริ่มกินพร้อมครอบครัวมะจูเนาะนั่นแหละ”
ไม่เฉพาะวิถีปฏิบัติในเดือนพิเศษอย่างรอมฎอนเท่านั้น
ด้วยความที่ใกล้ชิดกับครอบครัวมะจูเนาะมานาน เขายังสามารถอาซาน
(คำเรียกร้องให้ไปละหมาดที่มัสยิด) และท่องอัลกรุอ่านได้ในบางบท
รวมทั้งเคยฟังฮาดีส หรือ วจนะของศาสดามูฮัมหมัดแห่งศาสนาอิสลาม
กระทั่งทำให้เขารู้สึกว่ามีความคล้ายคลึงกันกับพระไตรปิฎกของศาสนาพุทธมาก
“ในบางเวลาที่ผมว่างๆ
ก็จะเปิดเทปฟังโต๊ะครูสอน การสอนของอิสลามก็เหมือนๆกันกับของคนพุทธนั่นแหละ
สอนให้ทำความดีสอนแนวทางชีวิตที่ดี
ทุกเรื่องที่พยายามศึกษาเรียนรู้มานั้นก็เพื่อมาปรับเพื่อให้ใช้ชีวิตร่วมกัน
เพราะยังไงก็ผมก็ต้องพึ่งพากับมุสลิมในพื้นที่อีกนาน” เป็นเหตุผลที่เขาให้กับเรา
ท่าทีเช่นนี้ ทำให้ม่ต้องสงสัยเลยว่า
เทศกาลสำคัญของชาวมุสลิมอย่างเดือนรอมฎอนจะสร้างเสน่ห์ให้เขาจะมีความรู้สึกร่วมได้ถึงขั้นอยากให้มีบรรยากาศเช่นนี้ตลอดปี
เพียง 3 ชั่วโมงนับตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ยันเย็นย่ำต่อถึงค่ำตะวันลับฟ้าไป
ความคึกคักที่คลาคล่ำด้วยผู้คนมากมายมาจากทั่วสารทิศ
ค่อยทยอยหายไปพร้อมกับการเริ่มต้นของการละศีลอด พักผ่อน และละหมาดในยามค่ำคืน
ถนนในตลาดเก่าจึงแทบจะว่างเปล่าเบา รถวิ่งกันน้อยคัน
ในขณะที่ผู้คนเริ่มหดหายไปจากถนน แม้แต่เด็กเล็กๆ เหลือเพียงแต่พ่อค้าแม่ค้าที่กำลังตั้งร้านเพื่อจะขายในคืนนั้นต่อไป
แต่มัสยิดกลางที่ตั้งอยู่กลางตลาดเก่ายังคงส่องแสงสว่างอยู่
หลังจากนี้อีกไม่กี่นาที การละหมาดในเวลาต่อไปจะเริ่มขึ้น
เช่นเดียวกับสีสันของตลาดเก่าในยามค่ำคืนที่แต่งแต้มด้วยร้านน้ำชาและอาหารคาวหวานนานาชนิด
.........................................................