วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

การละหมาดตะรอวีหฺ

ความประเสริฐ



การละหมาดกลางคืนเป็นอิบาดะฮฺที่เป็นเอกลักษณ์ของประชาชาติอิสลาม มุสลิมคือผู้ที่ฟื้นฟูช่วงกลางคืนด้วยการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  ไม่เหมือนคนอื่นที่มักใช้ช่วงกลางคืนเพื่อความสนุกสนานหรือนอนหลับ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  ทรงทำให้กลางคืนเป็นเสมือนเครื่องอาภรณ์และเป็นเวลาส่วนตัว ดังที่พระองค์ตรัสว่า

وَجَعَلْنَا اللَّيْلَ لِبَاساً

ความว่า และเราได้ทำให้กลางคืนเสมือนเครื่องปกปิดร่างกาย” (อันนะบะอฺ 78/10)



اللَّيْلَ لِتَسْكُنُواْ فِيهِ ... هُوَ الَّذِي جَعَلَ لَكُمُ

ความว่า พระองค์คือผู้ทรงประทานกลางคืนให้แก่พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้พักผ่อน ...” (ยูนุส 10/67)


อัลกุรอานได้เรียกร้องให้บรรดาผู้ศรัทธาฟื้นฟูช่วงเวลากลางคืนบางส่วนด้วยการลุกขึ้นละหมาด อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  สั่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ตั้งแต่ได้รับวะฮียฺช่วงแรก ๆ ให้ลุกขึ้นละหมาดกลางคืนทั้งคืนหรือส่วนหนึ่ง

  
ความว่า โอ้ผู้คลุมกายเอ๋ย จงยืนขึ้น (ละหมาด) เวลากลางคืน เว้นแต่เพียงเล็กน้อย” (อัลมุซซัมมิล 73/1-2)

  
และเป็นเอกลักษณ์ของผู้ศรัทธาที่จะเข้าสวรรค์ในวันกิยามะฮฺ

﴿١٨﴾ كَانُوا قَلِيلاً مِّنَ اللَّيْلِ مَا يَهْجَعُونَ ﴿١٧﴾ وَبِالْأَسْحَارِ هُمْ يَسْتَغْفِرُونَ

ความว่า พวกเขาเคยหลับนอนแต่เพียงส่วนน้อยของเวลากลางคืน  และในยามรุ่งสางพวกเขาขออภัยโทษ (ต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา )”  (อัซซาริยาต 51/17-18) ช่วงท้ายของกลางคืน (อัสฮาร) มีซุนนะฮฺในการกล่าวอิสติฆฟาร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาวสวรรค์ และเป็นช่วงเวลาดุอาอฺมุสตะญาบ (ดุอาอฺถูกตอบรับ)

ซอฮาบะฮฺบอกว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่ชอบการพูดคุยหลังอิชาอฺ แต่มีรายงานว่าท่านนบี   เคยนั่งคุยกับท่านอบูบักร อัศศิดดีก ถึงเรื่องราวของประชาชนหลังละหมาดอิชาอฺ อุละมาอฺจึงตีความว่าท่านนบี   ไม่ชอบให้พูดคุยเรื่องไร้สาระหลังละหมาดอิชาอฺ แต่สามารถพูดคุยประเด็นที่มีสาระและความจำเป็นได้ เพื่อให้เวลากลางคืนผ่านไปตามเจตนารมณ์ของอัลอิสลามเท่าที่กระทำได้

ในเดือนรอมฎอนบรรดาอัสสะละฟุศซอลิหฺและนักวิชาการจะหยุดสอนวิชาอื่นนอกจากอัลกุรอาน เพื่อรักษาให้กิจการในเดือนรอมฎอนมุ่งสู่เรื่องอิบาดะฮฺเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ยังให้ความสำคัญกับบางคืนในเดือนรอมฎอนเป็นพิเศษ ดังที่ท่านกล่าวว่า และผู้ใดยืนละหมาดในคืนอัลกอดรฺ อัลลอฮฺ  จะให้อภัยโทษต่อความผิดที่ทำในอดีต” (แสดงถึงความพิเศษอีกระดับหนึ่งของคืนอัลกอดรฺ) เมื่อท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ย้ำเช่นนี้ เราจึงต้องเข้าใจว่าการศึกษาเรื่องการละหมาดกิยามุลลัยลฺในเดือนรอมฎอนนั้น ไม่ด้อยไปกว่าการศึกษาวิธีถือศีลอดหรือวิธีการละหมาด

ความเป็นมา
คำว่า ตะรอวีหฺتَرَا وِيْعٌ ซึ่งหมายถึงการละหมาดกิยามุลลัยลฺในเดือนรอมฎอน มาจากการพักระหว่างยืนละหมาด 4 ร็อกอัต ซึ่งเรียกว่า ตัรวีฮะหฺในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ส่วนมาก (รวมทั้งเยาวชน) จะใช้ไม้เท้าพยุงยืนละหมาด เพื่อรักษาผลบุญที่มากกว่าการนั่งละหมาดซึ่งได้เพียงครึ่งหนึ่ง

หะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  บังคับให้ละหมาดฟัรฎูที่มัสญิด ใครมีความสามารถต้องไป ถ้าไม่ไปอาจถูกสงสัยว่าเป็นมุนาฟิก และถึงขั้นที่ท่านนบีขู่จะเผาบ้านคนที่ไม่ไปละหมาดมัสญิด แต่สำหรับละหมาดซุนนะฮฺทุกประเภท ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ส่งเสริมให้ละหมาดที่บ้าน ส่วนมากท่านนบีจะละหมาดซุนนะฮฺที่บ้าน ดังที่ท่านได้พูดชัดเจนว่า การที่คนหนึ่งคนใดละหมาดที่บ้าน ดีกว่าการละหมาดที่มัสญิด ยกเว้นฟัรฎู

อุละมาอฺได้ยกเว้นละหมาดบางประเภทที่เป็นซุนนะฮฺมุอักกะดะฮฺหรือฟัรฎูกิฟายะ ฮฺที่สมควรละหมาด เช่น ละหมาดกูซูฟ (สุริยคราสหรือจันทรคราส) ละหมาดญะนาซะฮฺ (ถ้าจะละหมาดที่มัสญิด) (ตามซุนนะฮฺท่านนบี   ละหมาดญะนาซะฮฺที่มุศ็อลลา ท่านนบี   เคยละหมาดญะนาซะฮฺที่มัสญิดเพียงครั้งเดียวเพื่อบอกว่าละหมาดได้)

ในรอมฎอนปีช่วงท้ายชีวิตของท่านนบี   ท่านได้ถือศีลอดและละหมาดกิยามุลลัยลฺที่บ้าน ซอฮาบะฮฺได้รายงานว่าท่านนบี   ส่งเสริม เรียกร้อง และกระตุ้นให้พวกเราละหมาดกิยามุลลัยลฺที่บ้านโดยไม่บังคับ บรรดาซอฮาบะฮฺก็ละหมาดที่บ้าน และบางคนละหมาดที่มัสญิดแต่ไม่ใช่ญะมาอะฮฺ จนครั้งหนึ่งที่ท่านนบี   ได้ออกมาละหมาดที่มัสญิด

มีหะดีษของอบูซัร บันทึกโดยอิมามอบูดาวูด เราได้ถือศีลอดกับท่านนบี   เดือนรอมฎอน จนถึงคืนที่ 24

(เหลืออีก 7 วัน) ท่านนบี   นำละหมาดที่มัสญิดช่วง 1 ใน 3 ของกลางคืน(1)  คืนที่ 25 ไม่ได้ละหมาด ต่อมาคืนที่ 26 ท่านนบี   นำละหมาดตะรอวีหฺจนผ่านไปครึ่งกลางคืน(ประมาณ 5 ชั่วโมง 30 นาที) อบูซัรได้ขอร้องให้ท่านนบี   ละหมาดจนถึงซุบฮฺ เพื่อจะได้ละหมาดทั้งคืน ท่านนบี   จึงได้ตอบว่า แท้จริง เมื่อคนหนึ่งคนใดละหมาดพร้อมอิมามจนสำเร็จ จะถูกบันทึกเสมือนละหมาดตลอดคืน” (นี่แสดงถึงความประเสริฐของการละหมาดตะรอวีหฺกับญะมาอะฮฺที่มัสญิด ถึงแม้ไม่ได้ละหมาดตลอดคืน แต่ถือว่าสมบูรณ์ในการบันทึก) ต่อมาคืนที่ 27 ไม่ได้ละหมาด คืนที่ 28 ท่านนบี   เชิญชวนครอบครัวและผู้คนละหมาดตะรอวีหฺ ท่านได้นำละหมาดจนกระทั่งเรากลัวว่าจะไม่ทันรับประทานอาหารสะฮูร และคืนที่เหลือท่านนบี   ไม่ได้ละหมาดกับเรา

(1)   กลางคืนนับตั้งแต่มัฆริบถึงซุบฮฺ สมมติซุบฮฺตีห้าและมัฆริบหกโมง รวม 11 ชั่วโมง ดังนั้น 1 ใน 3 จึงประมาณ 3 ชั่วโมง 40 นาที นี่คือเวลาที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ละหมาดกลางคืน (ในสมัยก่อนไม่มีนาฬิกา ใช้นับเวลาด้วยการกะ เช่น ช่วงรีดนมแพะหนึ่งถ้วย ช่วงตัดต้นไม้หนึ่งต้น แต่เมื่อรับอิสลามแล้วการกะเวลาจึงเปลี่ยนไป เช่น ช่วงเวลาระหว่างกินสะฮูรกับซุบฮฺประมาณอ่านอัลกุรอาน 50 อายะฮฺ เห็นได้ว่าบรรดาซอฮาบะฮฺได้บูรณะเวลาของพวกเขาด้วยการซิกรุลลอฮฺ เพราะใช้การอ่านอัลกุรอานเป็นมาตรฐานในการกะเวลา)

สาเหตุที่ท่านนบี   ไม่นำละหมาดญะมาอะฮฺที่มัสญิดเป็นประจำ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ  ได้ให้เหตุผลไว้ มีปีหนึ่ง ท่านนบี   ละหมาดคืนหนึ่งแล้วเว้น ซอฮาบะฮฺมาเรียกให้ท่านนบี   ออกมานำละหมาด แต่ท่านไม่ออก ตอนเช้า ท่านนบี   ได้บอกว่า ฉันเห็นคนเต็มมัสญิดรอฉันนำละหมาด แต่ฉันตั้งใจไม่ออกไปนำละหมาด เพราะเกรงว่าจะถูกบัญญัติให้การละหมาดตะรอวีหฺเป็นวาญิบ และพวกท่านคงไม่ไหว

แสดงว่าตลอดชีวิตท่านนบี   ไม่มีการละหมาดตะรอวีหฺที่มัสญิดเป็นประจำ มีเพียงบางครั้งบางคราว แต่เมื่อท่านนบี   เสียชีวิตแล้ว จึงไม่มีโอกาสบัญญัติให้การละหมาดนี้เป็นวาญิบ

สมัยท่านอบูบักรไม่มีการเปลี่ยนแปลง คือใครอยากละหมาดที่บ้านก็ทำ ใครจะละหมาดที่มัสญิดก็ได้ แต่ไม่เป็นญะมาอะฮฺเดียว ละหมาดคนเดียวบ้างหรือเป็นกลุ่มบ้าง หรือมีอิมามนำละหมาดให้เป็นบางครั้ง ช่วงแรกของคิลาฟะฮฺอุมัรก็เช่นเดียวกัน จนครั้งหนึ่งท่านอุมัรเข้ามัสญิดเห็นคนละหมาดตะรอวีหฺกันหลายกลุ่ม แล้วมีความคิดว่าถ้ารวมกันน่าจะดีกว่า จึงแต่งตั้งให้อุบัย อิบนิ กะอฺบ เป็นอิมามประจำมัสญิดสำหรับผู้ชาย และแต่งตั้งตะมีม อัดดารียฺ ให้เป็นอิมามสำหรับผู้หญิง นั่นคือในสมัยท่านอุมัรเริ่มรวมเหลือ 2 ญะมาอะฮฺ เป็นหลักฐานว่าจัดอิมามให้เฉพาะสำหรับผู้หญิง

การละหมาดตะรอวีหฺที่บ้านสามารถทำได้ (สำหรับเรื่องที่ว่าแบบใดมีความประเสริฐมากกว่า จะกล่าวในเนื้อหาต่อ ๆ ไป)  เพราะสมัยท่านนบี   และสมัยท่านอบูบักรก็ทำ และหากที่มัสญิดไม่จัดอิมามนำละหมาด ก็สามารถตั้งญะมาอะฮฺหลายกลุ่มที่มัสญิดได้ แต่อุละมาอฺบอกว่าอย่าให้รบกวนกัน เพราะเคยปรากฏในสมัยท่านนบี   มีการอ่านอัลกุรอานกวนกันในมัสญิด ท่านนบี   บอกว่า พวกท่านอย่าอ่านอัลกุรอานเสียงดังซึ่งกันและกัน (อย่ากวนกันด้วยอัลกุรอาน)เราต้องการความสงบในการอ่านอัลกุรอาน จะอ่านเพื่อรบกวนคนอื่นไม่




จำนวนร็อกอะฮฺและระยะเวลา
  
จำนวนร็อกอัต

เป็นบทบัญญัติสำหรับกิยามุลลัยลฺทั่วไป (รวมทั้งตะรอวีหฺในเดือนรอมฎอน) ที่อุละมาอฺทั้งหมดบอกว่าท่านนบี   ไม่เคยละหมาดเกิน 11 ร็อกอัต หะดีษจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ  บันทึกโดยอิมามบุคอรียฺและมุสลิม ท่านนบี   ไม่เคยละหมาดในเดือนรอมฎอนและนอกเดือนรอมฎอนมากกว่า 11 ร็อกอัต  ท่านนบี   จะละหมาด 4 ร็อกอัต (ทีละ 2 ร็อกอัต) ไม่ต้องถามเลย ว่าท่านนบี   ละหมาดยาวและสง่างามอย่างไร ( หมายถึงละหมาดยาวมากและสวยงามมาก) และละหมาดอีก 4 ร็อกอัต (ทีละ 2 ร็อกอัต) ท่านอย่าถามถึงความสวยงามและความยาวของมัน และต่อมาละหมาดอีก 3 ร็อกอัต

(คุณค่าของหะดีษนี้อยู่ที่ผู้รายงานหะดีษคือท่านหญิงอาอิชะฮฺ  ซึ่งนิกะฮฺกับท่านนบี   ตั้งแต่ก่อนอพยพ (อยู่ที่มักกะฮฺ) และเข้าอยู่บ้านเดียวกันเมื่ออพยพมาอยู่ที่มะดีนะฮฺ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ  อยู่กับท่านนบี   โดยตลอด และถือศีลอดด้วยกันตั้งแต่ปีฮิจญเราะฮฺศักราชที่ 1-11 (ปีที่ท่านนบีเสียชีวิต) ในเดือนรอมฎอนส่วนมากท่านนบี   ละหมาดที่บ้าน ดังนั้นคนที่รู้ลักษณะการละหมาดของท่านนบี   มากที่สุดคือภรรยาของท่าน และท่านนบี   ชอบอยู่บ้านท่านหญิงอาอิชะฮฺ  บางครั้งภรรยาคนอื่นสละสิทธิ์ให้ท่านนบี    ไปอยู่บ้านท่านหญิงอาอิชะฮฺ  เพราะรู้ว่าท่านนบีรักมากกว่า ปรับความหึงเพราะรักท่านนบี   และอยากให้ท่านได้สิ่งที่รักมากที่สุด ดังนั้น คนที่รู้ความลับของท่านนบี  มากที่สุดคือ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ  เป็นที่ยอมรับในบรรดาภรรยานบี   และซอฮาบะฮฺ)

สำหรับรายงานที่ว่าท่านนบี   ไม่เคยละหมาดมากกว่า 13 ร็อกอัต อุละมาอฺตีความ 2 ร็อกอัตที่เกินมา ทรรศนะหนึ่งบอกว่าเป็นละหมาดซุนนะฮฺหลังอิชาอฺ ส่วนอีกทรรศนะหนึ่งบอกว่าเป็น 2 ร็อกอัตเฉพาะของกิยามุลลัยลฺที่ท่านนบี   จะละหมาดเร็วเพื่อเป็นการเตรียมตัวที่จะละหมาดยาวนานต่อไป

ท่านนบี   เคยละหมาดต่ำกว่า 11 ร็อกอัต มีรายงานของซอฮาบะฮฺและถ้อยคำที่ท่านนบี   แนะนำผู้อื่นให้ทำเช่นกัน หะดีษบันทึกโดยอิมามอบูดาวูดและอิมามอะหฺมัด ท่านหญิงอาอิชะฮฺ  ถูกถามว่า ท่านนบี   ละหมาดกลางคืนพร้อมด้วยวิตรฺกี่ร็อกอัตท่านหญิงตอบว่า บางครั้งท่านนบี   ละหมาด 4 ร็อกอัต (ทีละสอง) และวิตรฺ 3 ร็อกอัต (2-1) บางครั้งละหมาด 6 ร็อกอัต (ทีละสอง) และวิตรฺ 3 ร็อกอัต (2-1) และบางครั้งละหมาด 10 ร็อกอัต (ทีละสอง) และวิตรฺ 3 ร็อกอัต (2-1) ท่านนบี   ไม่เคยละหมาดน้อยกว่า 7 ร็อกอัตและไม่เคยละหมาดมากกว่า 13 ร็อกอัต

    หะดีษบันทึกโดยอิมามเฏาะฮาวียฺ ท่านนบี   บอกว่า วิตรฺเป็นสัจธรรม(1)  ใครอยากละหมาดกิยามุลลัยลฺพร้อมวิตรฺ 5 ร็อกอัตก็ได้ หรือ 3 ร็อกอัตก็ได้ หรือ 1 ร็อกอัตก็ได้


(1) หมายถึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญปฏิเสธไม่ได้ หรือเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ มัซฮับอบูฮานีฟะฮฺอ้างหะดีษนี้ว่าวิตรฺเป็นวาญิบ แต่อีกสามมัซฮับบอกว่าเป็นซุนนะฮฺ อุละมาอฺส่วนมากบอกว่า ฮักกฺหมายถึงมีความสำคัญแต่ไม่ถึงขั้นวาญิบ เพราะอัลกุรอานและหะดีษบอกชัดเจนว่าฟัรฎูมี 5 เวลา

    อุละมาอฺสรุปว่า การละหมาดกิยามุลลัยลฺสูงสุด 13 หรือ 11 ร็อกอัต และต่ำสุด 1 ร็อกอัต   (ซอฮาบะฮฺที่ปฏิบัติวิตรฺ 1 ร็อกอัตคือ มุอาวียะฮฺ อิบนุ อบูซุฟยาน เคยมีสงครามระหว่างมุอาวียะฮฺกับอะลี มีคนเห็นมุอาวียะฮฺละหมาดกิยามุลลัยลฺ 1 ร็อกอัต จึงไปบอกอิบนิอับบาสซึ่งอยู่ฝ่ายอะลี เพราะหวังให้อิบนิอับบาสตำหนิมุอาวียะฮฺ แต่อิบนิอับบาสบอกว่า ปล่อยเขา เขามีความรู้”)


ระยะเวลา

    บางครั้งท่านนบี   ละหมาด 1 ใน 3 ของคืน บางครั้งครึ่งคืน และบางครั้งละหมาดทั้งคืน ไม่มีเวลาตายตัว (แต่ส่วนมากจะละหมาด 1 ใน 3 ของคืน แล้วแต่ความเหมาะสม) บางครั้งหนึ่งร็อกอัตเท่ากับซูเราะฮฺอัลมุซซัมมิล (ประมาณ 20 อายะฮฺ) บางครั้งเท่ากับ 50 อายะฮฺ หะดีษท่านนบี   กล่าวว่า 


مَنْ قَامَ بِعَشْرِ آيَاتٍ لَمْ يُكْتَبْ مِنَ الْغَافِلِيْن ، وَمَنْ قَامَ بِمِائَةِ آيَةٍ كُتِبَ مِنَ الْقَانِتِيْن ،
وَمَنْ قَامَ بِأَلْفِ آيَةٍ كُتِبَ مِنَ الْمُقَنْطِرِيْن . صحيح الجامع الصغير وزياداته

ผู้ใดตื่นละหมาดกลางคืนด้วย 10 อายะฮฺ จะไม่ถูกบันทึกว่าเป็นผู้หลงลืม (จากหลักการของอัลลอฮฺ   ) และผู้ใดตื่นละหมาดกลางคืนด้วย 100 อายะฮฺ จะถูกบันทึกว่าเป็นกอนิตีน (ยืนละหมาดนาน) และผู้ใดละหมาดกลางคืนด้วย 1,000 อายะฮฺ จะถูกบันทึกว่าเป็นมุกอนฏิรีน (ได้รับผลบุญมหาศาล)


คืนหนึ่งท่านนบี   ป่วย แต่ได้ละหมาดกิยามุลลัยลฺด้วยซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อาลิอิมรอน อันนิซาอฺ อัลมาอิดะฮฺ อัลอันอาม อัลอะอฺรอฟ และอัตเตาบะฮฺ (ถือเป็น 7 ซูเราะฮฺยาวที่สุดในอัลกุรอานที่ถูกเรียงกัน เรียกว่า อัซซับอุฏฏิวานรวมประมาณ 10 ญุซ) และมีเรื่องของท่านฮุซัยฟะฮฺ อิบนุ ยะมาน ที่ขอค้างกับท่านนบี   คืนหนึ่ง และได้ละหมาดกับท่านนบี   อ่านอัลบะเกาะเราะฮฺ อันนิซาอฺ และอาลิอิมรอนในร็อกอัตเดียว อ่านช้า ๆ

ในสมัยท่านอุมัร ที่แต่งตั้งให้อุบัย อิบนิ กะอฺบ นำละหมาดที่มัสญิด อุบัยอ่านอายะฮฺนับหลักร้อย จนคนที่มาละหมาดด้วยใช้ไม้เท้า และจะไม่กลับบ้านจนกว่าใกล้อะซานซุบฮฺ อุละมาอฺบอกว่าการนำละหมาดที่มัสญิดสมควรดูว่าคนทั่วไปสามารถละหมาดได้ยาวนานแค่ไหน แต่หากเป็นมัสญิดหรือมุศ็อลลาที่คนละหมาดสมัครใจละหมาดยาวมากก็สามารถทำได้

การละหมาดกิยามุลลัยลฺเริ่มตั้งแต่เวลาหลังละหมาดอิชาอฺจนถึงเวลาอะซานซุบฮฺ การละหมาดก่อนอิชาอฺมีรูปแบบที่บางครั้งซอฮาบะฮฺปฏิบัติ คือ การละหมาดระหว่างมัฆริบและอิชาอฺทีละ 2 ร็อกอัตเท่าที่ทำได้ เรียกว่า อิหฺยาอุมาบัยนัลอิชาอัยนฺเป็นซุนนะฮฺกลางคืนอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่กิยามุลลัยลฺ

หะดีษบันทึกโดยอิมามมุสลิม ท่านนบี   กล่าวว่า ใครที่กลัวจะไม่ตื่นช่วงท้ายของคืน ให้ละหมาดวิตรฺก่อนนอน และใครที่หวังว่าจะตื่นละหมาดตอนดึก ให้วิตรฺตอนดึก(2)  เพราะการละหมาดช่วงสุดท้ายของกลางคืน เป็นการละหมาดที่มีผู้เป็นพยานให้ (หมายถึงอัลลอฮฺ  หรือบรรดามลาอิกะฮฺ(3) ) และการละหมาดกลางคืนนั้นประเสริฐยิ่ง

(2) คนที่มั่นใจว่าจะตื่นก็ให้วิตรฺช่วงท้ายดีกว่า แต่ถ้าไม่มั่นใจให้วิตรฺไว้ก่อน และถ้าตื่นก็ละหมาดทีละสองร็อกอัต (โดยไม่ต้องวิตรฺอีก)

(3) มีหะดีษรายงานจากบุคอรียฺ มุสลิม และท่านอื่น ๆ ท่านนบี   กล่าวว่า ช่วง 1 ใน 3 ส่วนสุดท้ายของกลางคืน อัลลอฮฺ   จะเสด็จลงมายังชั้นฟ้าสุดท้ายของโลกนี้ และกล่าวว่าใครที่เตาบัตพระองค์จะรับ ใครขออภัยโทษจะอภัยโทษให้ และใครวิงวอนดุอาอฺข้าจะตอบรับ

สถานที่และรูปแบบการละหมาดสถานที่ละหมาด



ส่วนใหญ่ที่มัสญิดจัดละหมาดคือช่วงแรกของกลางคืน การละหมาดญะมาอะฮฺกับอิมามมีความประเสริฐเสมือนละหมาดตลอดคืน แต่การละหมาดในช่วงสุดท้ายที่บ้านก็มีความประเสริฐ ดังนั้นควรปฏิบัติแบบใด?

เชคอัลบานียฺบอกว่า การละหมาดญะมาอะฮฺที่มัสญิดมีความประเสริฐกว่า เพราะจะถูกบันทึกว่าละหมาดตลอดคืน (รวมถึงช่วงสุดท้ายของคืนด้วย) และนี่คือการปฏิบัติของบรรดาซอฮาบะฮฺเช่นเดียวกันแต่เชคอัลบานียฺคลาดเคลื่อนนิดหน่อยในการตีความหะดีษที่ว่า ในสมัยท่านอุมัรได้มีการแต่งตั้งอิมามที่มัสญิดนำละหมาดช่วงแรกของคืน ท่านอุมัรออกมากับซอฮาบะฮฺท่านหนึ่งแล้วบอกว่า การละหมาดเช่นนี้ดี แต่การละหมาดช่วงที่พวกเขากลับบ้านไปนอนพักผ่อนนั้นดีกว่า คนส่วนมากละหมาดช่วงแรกของกลางคืนเชคอัลบานียฺอ้างคำพูดที่ว่า คนส่วนมากละหมาดช่วงแรกของคืนแต่ท่านอุมัรไม่ได้ละหมาดช่วงนั้น มีรายงานหะดีษหนึ่งว่า ท่านอุมัรไม่ได้ร่วมละหมาดกับอิมามที่มัสญิด แต่ละหมาดที่บ้านช่วงสุดท้ายของกลางคืน ดังนั้นจะฟันธงว่าการละหมาดช่วงแรกเป็นการปฏิบัติของซอฮาบะฮฺทั้งหมดไม่ได้ ถึงแม้ซอฮาบะฮฺส่วนมากปฏิบัติ แต่เมื่อเทียบแล้วท่านอุมัรมีน้ำหนักมากกว่าซอฮาบะฮฺธรรมดา

อุละมาอฺมีทรรศนะที่แตกต่างกันเรื่องละหมาดที่มัสญิดหรือที่บ้านประเสริฐกว่า ท่านนบี   บอกว่าละหมาดซุนนะฮฺที่บ้านดีกว่าและละหมาดช่วงสุดท้ายของกลางคืนดีกว่า แต่อีกหะดีษหนึ่งท่านนบี   บอกว่าการละหมาดกับอิมามที่มัสญิดได้ผลบุญเท่ากับการละหมาดตลอดคืน จึงมีทรรศนะที่ยึดหะดีษนี้ว่าละหมาดที่มัสญิดดีกว่า เพราะไม่มีอะไรสมบูรณ์กว่าการละหมาดตลอดคืน

ทรรศนะที่ 2 บอกว่าละหมาดที่บ้านดีกว่า โดยยึดตามหะดีษของท่านนบี   ที่บอกว่าละหมาดซุนนะฮฺทุกประเภทที่บ้านดีกว่า และละหมาดช่วงสุดท้ายของคืนดีกว่า ส่วนการละหมาดที่มัสญิดท่านนบี   ไม่ได้ใช้คำว่า อัฟฎอลลฺ-ประเสริฐเพียงแต่บอกว่าได้รับผลบุญเท่าการละหมาดตลอดคืน

ทรรศนะที่ 3 คือทรรศนะของอุละมาอฺที่ได้ให้แง่คิดว่า หากรู้ว่าการละหมาดที่บ้านช่วงสุดท้ายของคืนมีคุชูอฺมากกว่าและยาวกว่าที่มัสญิด นั่นดีกว่าและได้ผลบุญมากกว่า แต่ถ้ารู้ว่าละหมาดที่มัสญิดยาวกว่านั่นย่อมดีกว่า เพราะความประเสริฐไม่ใช่ในด้านเวลาอย่างเดียว แต่รวมถึงจำนวนและความสมบูรณ์ด้วย

การละหมาดตามอิมามที่บะแลหรือมุศ็อลลาก็ถือว่าเป็นมัสญิด แต่มีคิลาฟว่ามัสญิดบ้าน (คือการตั้งห้องหนึ่งเป็นบะแลหรือมุศ็อลลา เนื่องจากไม่สามารถสร้างมัสญิดหลังใหญ่ได้)  ถือว่าเป็นมัสญิดหรือไม่ เพราะมีหะดีษบางบทเรียกว่าเป็นมัสญิด ดังที่ซอฮาบะฮฺท่านหนึ่งกล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  สั่งให้กำหนดมัสญิดที่บ้านของเราและรักษาความสะอาดด้วยและเป็นที่ปฏิบัติของบรรดาซอฮาบะฮฺว่าในหมู่บ้านจะมีมัสญิดหรือมุศ็อลลา บางบ้านมีห้องเฉพาะสำหรับละหมาด ถึงแม้จะเรียกว่ามัสญิด อุละมาอฺบางท่านบอกว่าไม่ได้ผลบุญเหมือนมัสญิด ถ้าเรียกว่ามัสญิดและมีญะมาอะฮฺก็ได้ผลบุญ เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม   เรียกว่ามัสญิด แต่ที่เรียกว่ามัสญิดสมบูรณ์คือ เป็นที่วะกัฟของมัสญิด ไม่ได้อยู่อาศัยเป็นบ้าน

รูปแบบการละหมาด

รูปแบบที่ 1 ละหมาด 13 ร็อกอัต คือ ละหมาด 2 ร็อกอัตแรกเร็วหน่อย (เชคอัลบานียฺบอกว่า 2 ร็อกอัตนี้คือซุนนะฮฺหลังอิชาอฺ หรือนับเป็น 2 ร็อกอัตเริ่มกิยามุลลัยลฺ)  2 ร็อกอัตต่อมายาว 2 ร็อกอัตต่อมาสั้นลง แล้วพัก ต่อมาละหมาด 2 ร็อกอัตสั้นกว่า 4 ร็อกอัตที่ผ่านไป และอีก 2 ร็อกอัตสั้นลง แล้วพัก ต่อมาละหมาด 2 ร็อกอัตที่สั้นกว่าที่ผ่านไปทั้งหมด และวิตรฺ 1 ร็อกอัต

รูปแบบที่ 2 ละหมาด 13 ร็อกอัต คือ ละหมาด 8 ร็อกอัตทีละสอง (ให้สลามทุก 2 ร็อกอัต) และละหมาด 5 ร็อกอัตเป็นวิตรฺรวดเดียว อุละมาอฺส่วนมากให้น้ำหนักว่าตะชะฮุดครั้งเดียวในละหมาดวิตรฺ 5 ร็อกอัต

รูปแบบที่ 3 ละหมาด 11 ร็อกอัต เหมือนรูปแบบที่ 1 แต่ไม่มี 2 ร็อกอัตเร็วตอนแรก คือ 2 ร็อกอัต 2 ร็อกอัต แล้วพัก 2 ร็อกอัต 2 ร็อกอัต แล้วพัก ต่อมา 2 ร็อกอัต และ 1 ร็อกอัต

รูปแบบที่ 4 ละหมาด 11 ร็อกอัต คือ ละหมาด 4 ร็อกอัตรวดเดียว (สลามครั้งเดียว ตะชะฮุดเดียว)  อีก 4 ร็อกอัตรวดเดียว และ 3 ร็อกอัตรวดเดียว
(เชคอัลบานียฺบอกว่า ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในซุนนะฮฺว่าท่านนบี   ละหมาด 4 ร็อกอัตรวดเดียวหรือมีตะชะฮุดด้วย แต่ที่แน่นอนว่าถ้าละหมาดวิตรฺ 3 ร็อกอัตรวดเดียวไม่ให้ตะชะฮุดร็อกอัตที่สอง เพราะมีหะดีษชัดเจนท่านนบี   บอกว่า อย่าละหมาดวิตรฺเหมือนมัฆริบนี่จึงเป็นทรรศนะของอุละมาอฺกลุ่มหนึ่งว่า การละหมาดซุนนะฮฺ 4 ร็อกอัตก็ให้นั่งตะชะฮุดครั้งเดียว เพราะถ้านั่งตะชะฮุด 2 ครั้งจะเป็นการเลียนแบบฟัรฎู)

รูปแบบที่ 5 ละหมาด 11 ร็อกอัต คือ ละหมาด 8 ร็อกอัตรวดเดียว นั่งตะชะฮุดและซอละวาตในร็อกอัตที่ 8 แล้วลุกขึ้น (ไม่ให้สลาม) ละหมาดวิตรฺ 1 ร็อกอัต ให้สลาม แล้วนั่งละหมาดอีก 2 ร็อกอัต
(นี่เป็นลักษณะที่ท่านนบี   ละหมาดกิยามุลลัยลฺที่บ้าน ไม่มีหลักฐานว่าท่านใช้ละหมาดตะรอวีหฺ น่าจะไม่เคยทำเป็นญะมาอะฮฺ ถ้าจะนำรูปแบบนี้มาละหมาดเป็นญะมาอะฮฺก็ทำได้ แต่มีคิลาฟว่าถ้าอิมามนั่งละหมาดแล้วมะมูมต้องนั่งหรือไม่ บางท่านบอกว่าต้องนั่ง บางท่านบอกว่ายืนก็ได้)

รูปแบบที่ 6 ละหมาด 9 ร็อกอัต คือ ละหมาด 6 ร็อกอัตรวดเดียว นั่งตะชะฮุดและซอละวาตในร็อกอัตที่ 6 แล้วลุกขึ้น (ไม่ให้สลาม) ละหมาดวิตรฺ 1 ร็อกอัต ให้สลาม แล้วนั่งละหมาดอีก 2 ร็อกอัต

เชคอัลบานียฺบอกว่า สามารถเพิ่มเติมบางรูปแบบที่บรรจุในรูปแบบนั้น ๆ อาทิเช่น ลดจำนวนร็อกอัตจากรูปแบบดังกล่าว เช่น จากรูปแบบที่ 1 สามารถลดจำนวนเหลือ 7 ร็อกอัตได้ (2-2-2-1) หรือจากรูปแบบที่ 6 สามารถลดจำนวนเหลือ 7 ร็อกอัตได้ (4-1-2) เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า ใครจะละหมาด (รวมวิตรฺ) 5 ร็อกอัตก็ได้ ใครจะละหมาด 3 ร็อกอัตก็ได้ หรือจะละหมาดเพียง 1 ร็อกอัตก็ได้เช่นเดียวกัน

สำหรับการอ่านในวิตรฺ ร็อกอัตแรกท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  อ่านซูเราะฮฺอัลอะอฺลา ร็อกอัตที่ 2 อ่านซูเราะฮฺอัลกาฟิรูน และร็อกอัตที่ 3 อ่านซูเราะฮฺอัลอิคลาศ บางครั้งเพิ่มซูเราะฮฺอัลฟะลักและซูเราะฮฺอันนาสด้วย ในการบันทึกของท่านอิมามนะซาอียฺ อะหฺมัด อิสนาดซอฮีหฺ ครั้งหนึ่งท่านนบี   อ่านในวิตรฺร็อกอัตสุดท้ายด้วย 100 อายะฮฺจากซูเราะฮฺอันนิซาอฺ แสดงว่าการอ่านซูเราะฮฺอัลอิคลาศในร็อกอัตสุดท้ายวิตรฺไม่ใช่วาญิบ

การละหมาด 20 ร็อกอัต ไม่ใช่บิดอะฮฺ เพราะมีรายงานชัดเจนว่าท่านอุมัรแต่งตั้งอิมามนำละหมาด 20 ร็อกอัต ไม่มีรายงานว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ทำ แต่ชัดเจนว่าซอฮาบะฮฺทำ และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  อนุโลมตามหะดีษบันทึกโดยบุคอรียฺและมุสลิม ท่านนบี   กล่าวว่า การละหมาดกลางคืนทีละสอง ๆไม่ได้จำกัดจำนวน อัลกุรอานได้เปิดกว้างว่าการละหมาดกลางคืน ครึ่งคืนก็ได้ ตลอดคืนก็ได้ จึงมีโอกาสมากกว่า 11 ร็อกอัตได้ ซอฮาบะฮฺเข้าใจเจตนารมณ์ของท่านนบี   และปฏิบัติเช่นนั้น อุละมาอฺบอกว่าซอฮาบะฮฺเลือกปฏิบัติความประเสริฐของการละหมาดด้วยการเลือกระหว่างจำนวนกับความยาวของการละหมาด ถ้าจะละหมาดยาวก็ลดจำนวน แต่ถ้าละหมาดสั้นก็เพิ่มจำนวน ถ้าละหมาดที่มัสญิดไม่จบแล้วไปวิตรฺที่บ้านก็ไม่ได้ผลบุญที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  บอกว่า การละหมาดกับอิมามจนจบเหมือนละหมาดตลอดคืน

ถ้าที่มัสญิดละหมาดเร็วมากไม่ควรร่วมด้วย เพราะไม่ได้ผลบุญ และอาจถึงขั้นละหมาดใช้ไม่ได้ เพราะขาดความสงบซึ่งเป็นรุก่นในการละหมาด

ละหมาดถืออัลกุรอานสามารถทำได้ ถ้ามีความต้องการ แต่ถ้าท่องจำแม่นแล้วไม่ถือดีกว่า มีรายงานว่าทาสของท่านหญิงอาอิชะฮฺ  เคยละหมาดโดยถืออัลกุรอาน ท่านหญิงอาอิชะฮฺ  เห็นแล้วไม่ได้ตำหนิ จึงถือว่าทำได้ แต่ไม่ถือว่าประเสริฐกว่า




............................................................................


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น