วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สืบสานตำนานกริชรามัน กับ อ.ตีพะลี อะตะบู ราชันแห่งกริชชายแดนใต้

ลวดลายอ่อนช้อยที่เรียงร้อยอย่างงามวิจิตรบนหัวกริชรามัน กริชที่มีตำนานเล่าขานมานานกว่าศตวรรษ ดูผิวเผินอาจเป็นเพียงลายดอกไม้งดงาม ที่ถูกถ่ายทอดลงบนลายไม้ เพียงวัตถุประสงค์เพื่อความงดงามของหัวกริชเท่านั้น หากแท้จริงเรื่องราวที่ถูกสลักลงบนหัวกริชรามันทุกเล่ม กลับมากด้วยความหมายที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะคาดคิด

อ.ตีพะลี  อะตะบู ประธานกลุ่มเยาวชนทำกริชบ้านตะโละหะลอ อำเภอรามัน  จังหวัดยะลา ชายไทยมุสลิม ในวัยใกล้เกษียณ ครูภูมิปัญญาท้องถิ่นผู้สืบสานตำนานการทำกริชรามัน กริชโบราณแห่งเมืองยะลาบอกเล่าถึงลวดลายที่สลักลงบนหัวกริชว่า ลวดลายบนหัวกริชรามัน เป็นลวดลายที่คนท้องถิ่นเรียกว่า ดอกสิละครู ตีพะลีอธิบายว่า ลายดอกสิละที่เห็น จะเป็นลวดลายที่เป็นกระบวนท่าร่ายรำสิละ ( ศิลปะการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยมุสลิม ชายแดนใต้ )  โดยลายแรกเริ่มจากมี 4 ใบ เป็นการร่ายรำเบื้องต้น จากนั้นจะม้วนจนไปจบที่ ดอกแทง ”  คือ  ” ท่าแทงกริช ซึ่งลักษณะเด่นของดอกแทงนั้น จะต้องเป็นดอกเดียวที่บานตรง ก่อนจะขึ้นต้นใหม่ด้วยการม้วนปลายที่เปรียบเสมือนการร่ายรำใน ท่าไหว้ขอขมา ”  ที่เรียกว่า ลายขั้นสุดท้าย ….

อ.ตีพะลี  อะตะบู เล่าว่า ช่างทำกริชที่จะแกะสลักหัวกริชได้ จะต้องมีความเข้าใจในกระบวนท่าร่ายรำทั้งหมดก่อน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถถ่ายทอดดอกลายทั้งหมดลงบนหัวกริชได้ นอกจากนั้นจะต้องเข้าใจลึกซึ้งถึงศาสตร์ของการทำกริชอย่างถ่องแท้ เพราะการจะร่ำเรียนวิชาการทำกริชรามันได้นั้น มิใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด…..

ศาสตร์ภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำกริชรามันนั้น อ.ตีพะลี ได้ย้อนรอยจุดกำเนิดของกริชรามันมาจากความจำเป็นของเจ้าเมืองรามันพระองค์แรกที่จะต้องใช้กริชในพิธีสถาปนาขึ้นครองเมือง ทำให้ต้องขอความช่วยเหลือไปยังเมืองชวา เพื่อให้ส่งช่างทำกริชมาช่วยทำกริชให้กับเมืองรามัน เนื่องจากในเมืองรามันไม่มีช่างฝีมือรายใดที่มีความสามารถในการทำกริช  เขาบอกว่า เมืองไทยสมัยนั้นถ้าอยากมีกริชไว้ใช้จะต้องไปซื้อถึงชวาและสุมาตรา ..
จุดเริ่มต้นของกริชรามันนั้น อ.ตีพะลี เล่าให้ฟังว่า เริ่มจากช่างทำกริชที่เจ้าเมืองชวาส่งมาให้เจ้าเมืองรามัน จำนวน 4 ท่าน คือ ท่านปันไดสาระ ท่านปันไดยานา ท่านปันไดซานะ และท่านปันไดนิรนาม ซึ่งเป็นช่างหลวง ที่เมืองชวามีอยู่ 5 คนในขณะนั้น

อย่างไรก็ตาม ช่างหลวงทั้ง 4 คนที่ส่งมานั้น ช่างที่มีบทบาทมากที่สุด และเป็นดั่งสัญลักษณ์ของกริชรามันนั้น ครูตีพะลีบอกว่า คือ ท่านปันไดสาระ  เนื่องเพราะเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการทำกริช รวมทั้งเป็นผู้ร่างจรรยาบรรณของช่างทำกริช อันเป็นแนวทางปฏิบัติของช่างทำกริชรามันมาจนถึงปัจจุบัน
กริชตระกูลท่านปันไดสาระ เป็นกริชที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มนักทำกริช หรือกลุ่มผู้นิยมกริชทั่วโลก เพราะเป็นกริชที่มีลักษณะโดดเด่นเป็นพิเศษกว่ากริชอื่น โดยเฉพาะใบกริชและหัวกริช เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นศิลปะรูปหัวนกปือกากา หรือนกพังกระ หรือนกกินปลาตามที่คนท้องถิ่นเรียก นกปือกากานั้น ครูตีพะลีอธิบายว่า  เป็นนกในวรรณคดีท้องถิ่นที่มีความหมายว่า ผู้คุ้มครอง และกริชรามันจะใช้หัวกริชเป็นรูปนกปือกากาแทบทั้งสิ้น
นอกจากนั้นความแข็งแกร่ง ยังเป็นจุดเด่นอีกประการของกริชรามันจากตระกูลปันไดสาระอีกด้วย เนื่องเพราะมีเรื่องเล่าขานกันว่า ในการประกวดความแข็งแกร่งของกริช ซึ่งผู้เข้าประกวดจะต้องใช้กริชแทงโอ่งบรรจุน้ำให้แตกนั้น มีเพียงกริชจากตระกูลปันไดสาระเท่านั้น ที่สามารถแทงทะลุโอ่งได้ เนื่องจากเป็นกริชชนิดเดียวที่มีสันตรงกลางใบกริช  และมีสูตรการผสมเนื้อเหล็กที่เน้นความแข็งแกร่งของกริชเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ดีความงดงามของกริชรามัน และวัฒนธรรมการทำกริชที่สืบสานมาจากท่านปันไดสาระ นับจากยุคก่อตั้งเมืองรามันนั้น เป็นศาสตร์ที่แทบจะสูญหายไปจากเมืองรามันในช่วงเวลาหนึ่ง เนื่องจากไม่มีการถ่ายทอด ครูตีพะลีเองนั้น เขาบอกว่า มีโอกาสได้เรียนรู้การทำกริชจากครูภูมิปัญญาในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นญาติสนิทกัน ทำให้สามารถศึกษาการทำกริช ในแนวทางของท่านปันไดสาระได้อย่างครบถ้วน

หลังจากได้ร่ำเรียนจากครูภูมิปัญญาในท้องถิ่น จนสามารถทำกริชได้ตามหลักการของท่านปันไดสาระแล้ว จึงเห็นว่า น่าจะอนุรักษ์และรื้อฟื้นศาสตร์และศิลปะการทำกริชรามัน สืบทอดให้กับเด็กๆและเยาวชนรุ่นหลัง ปี 2542 เขาจึงเริ่มตั้ง กลุ่มเยาวชนทำกริชบ้านตะโละหะลอ ”  อำเภอรามันขึ้น
กระนั้นก็ตามในระยะแรก ดูเหมือนว่า ครูตีพะลีไม่อาจขยายกลุ่มการทำกริชได้ตามที่เขาตั้งเป้าไว้ เมื่อประสบกับอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะอุปสรรคสำคัญเกี่ยวกับหลักการทำกริช ซึ่งช่างกริชจะต้องยอมรับจรรยาบรรณของช่างทำกริชที่ท่านปันไดสาระกำหนดไว้

นอกจากนั้นความพยายามของเขาที่จะถ่ายทอดการทำกริชที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกศิษย์  เพื่อให้ลูกศิษย์มีความสามารถแบบเดียวกับที่เขาเรียนรู้มา ก็เป็นอุปสรรคที่สำคัญอีกประการหนึ่งด้วย เมื่อส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะรับการถ่ายทอดแบบเต็มรูปแบบได้ กระทั่งเขาได้นำรูปแบบการสอนของท่านปันไดสาระ ที่แยกการสอนทำกริชออกเป็นส่วนๆ ตามโครงสร้างของกริช ที่มีตั้งแต่การผสมเนื้อเหล็กทำใบกริช การตีใบกริช การทำหัวกริช  การทำฝักกริช  และทำปีกฝักกริช โดยสอนตามความสามารถของลูกศิษย์แต่ละคน วิชาทำกริชรามันจึงเริ่มได้รับการถ่ายทอดออกไปมากขึ้น
อ.ตีพะลีบอกว่า ปัจจุบันเขาแบ่งการสอนออกเป็น 3 ระดับ คือ การสอนชาวบ้าน สอนเยาวชน และสอนเด็กนักเรียนในโรงเรียน ทั้งนี้เพื่อให้วิชาทำกริชรามันเผยแพร่ออกไปสู่ผู้คนในอำเภอรามันให้มากที่สุด เพื่อที่จะรื้อฟื้นศาสตร์และศิลป์แห่งการทำกริชรามันขึ้นมาให้เร็วที่สุด
ในส่วนของชาวบ้านทั่วไปนั้น ครูจะเน้นสอนเป็นอาชีพเสริม เพื่อเน้นการสร้างรายได้ เสริมให้กับครอบครัว ส่วนระดับเยาวชน ครูบอกว่าจะเน้นวิชาการผสมเนื้อเหล็ก การตีเหล็ก เพราะเป็นส่วนที่ไม่ต้องใช้สมาธิและใช้เวลามากนัก ขณะที่ระดับนักเรียน ซึ่งปัจจุบันเขาสอนอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษาบ้านตะโล๊ะหะลอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา  โดยสอนสัปดาห์ละ 3 วัน คือ วันจันทร์ วันอังคารและวันพฤหัสนั้น จะเน้นปลูกฝังรากฐานตั้งแต่ทฤษฎีการทำกริช และโครงสร้างของกริช เพื่อให้เด็กนักเรียนเหล่านั้นมีความรู้รากฐานการทำกริชที่สมบูรณ์ที่สุด

จากจุดเริ่มต้นในปี 2542 กระทั่งปัจจุบัน ตีพะลีบอกว่า กลุ่มของเขาประสบความสำเร็จในของการสอนเพียงหกสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะแม้จะมีช่างทำกริชที่มีฝีมือของหมู่บ้านถึง สิบสองคน และมีลูกศิษย์มากขึ้น ซึ่งหากมองในเชิงปริมาณแล้วน่าจะประสบความสำเร็จมากกว่านั้น แต่ครูตีพะลีบอกว่า ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะศาสตร์แห่งความสำเร็จของช่างทำกริชนั้น รายได้และเงินไม่ใช่หัวใจหลักของช่างทำกริช ….
ขณะที่หากเป็นการรื้อฟื้นความเป็นกริชแห่งรามันแล้ว อ.ตีพะลีบอกว่า เขาทำสำเร็จเพียงสี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะจนถึงวันนี้ เขายังไม่สามารถรื้อฟื้นกริชรามันให้กลับมาเป็นกริชของชาวรามันได้ เขาเล่าว่า สมัยก่อนในเมืองรามันชาวบ้านจะต้องมีกริชรามันใช้ถึง 7 เล่มในแต่ละบ้าน แต่ปัจจุบันคนรามันมีกริชใช้เพียง 10 ครัวเรือนต่อ 1 เล่มเท่านั้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ครูตีพะลีภาคภูมิใจมากในวันนี้ คือ นอกเหนือวิชาชีพที่เขาถ่ายทอดให้กับนักเรียน เยาวชนและชาวบ้านในรามันแล้ว ครูบอกว่า จรรยาบรรณการทำกริชที่มุ่งเน้นการปฏิบัติตัวที่ดี ซึ่งช่างทำกริชทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด  เป็นหลักการปฏิบัติตัวที่เขาภูมิใจมากที่สุด เพราะ จะมีผลต่อความสงบสุขในสังคม ….
และนี่คืออีกหนึ่งใน ปูชนียบุคคล ที่สำคัญของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครูภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ใช้เวลากว่าครึ่งค่อนของชีวิตของเขาทุ่มเท สืบสาน อัตลักษณ์ความเป็นคนชายแดนใต้ อันทรงคุณค่า และพร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้ ให้กับคนรุ่นใหม่ ไม่เลือกความต่างทางด้านศาสนาและชาติพันธุ์ ไร้ซึ่งอคติ หวังเพียงแค่ให้ทุกคน มีจิตสำนึกร่วม ที่พร้อมสานต่อภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ และ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข….


--------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น