อัลลอฮ์ (ซุบฮานาฮูวาตาอาลา แปลว่า
มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์)ได้สร้างสรรพสิ่งบนโลกนี้ โดยมีน้ำเป็นส่วนประกอบ
ผู้คนขวนขวายและต่างก็ต้องการน้ำเพื่อยังประโยชน์ในเกือบทุกๆสิ่งทุกๆกิจการ
ไม่ว่าในด้านการเกษตรกรรม การก่อสร้างการขนส่ง หรือแม้กระทั่งใช้ทำความร้อนและเย็น
แต่ไม่ใช่ว่าน้ำทั้งหมดทุกประเภทจะมีคุณค่าและความสำคัญ
แต่เมื่อกล่าวถึงคาบสมุทรอารเบียคงไม่มีใครปฏิเสธถึงความร้อนระอุ
ท่ามกลางทะเลทรายที่แผดเผา เม็ดทรายกับท้องฟ้าสีครามช่างตัดกับสีของทะเลทราย
แต่ถึงอย่างไรดินแดนนี้ก็ยังคงต้องการน้ำหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่
บนพื้นทะเลทราย สร้างความชุ่มชื้น แผดเผาความร้อนให้ดับลง
การเกิดขึ้นของบ่อน้ำซัมซัมจึงเป็นสิ่งที่โปรยความสดชื่นให้ดินแดนอารเบีย
เมื่อกล่าวถึงบ่อน้ำซัมซัม
ก็เหมือนกับบ่อน้ำธรรมดาทั่วๆไป แต่มีประวัติความเป็นมาที่พิเศษ
ประวัติของบ่อน้ำนี้มีความสัมพันธ์กับนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม ( Abraham
หรืออับราฮัม ท่านนบีอิบรอฮีมถือกำเนิดในเมืองบาบิล
ในประเทศอิรัคและเป็นนบีคนที่เจ็ดของศาสนาอิสลาม)
และความสัมพันธ์ของบ่อน้ำซัมซัมยังเกิดขึ้นกับนบีอิสมาอีล ( Is mail) บุตรของนบีอิบรอฮีมที่เกิดจากพระนางฮาญัร ( Hakar ฮาการ์)
ภรรยาของท่านนบีอิบรอฮีม ที่เดินทางมายังดินแดนมักก๊ะห์ (เมกกะ)
สำหรับจุดเริ่มต้นของประวัติบ่อน้ำซัมซัมนั้นถูกบันทึกไว้ดังนี้
ท่านนบีอิบรอฮีม มีภรรยาสองคน
คือ พระนางซาเราะห์ ( Sara ซาร่าห์)
และพระนางฮาญัร วันหนึ่งทั้งสองเกิดผิดใจกัน
กระทั่งพระนางซาเราะห์ถึงกับบนบานว่าจะไม่ขออยู่บ้านเมืองเดียวกับพระนางฮา ญัร
อัลลอฮ์ (ซุบฮานาฮูวาตาอาลา) ก็บัญชามายังท่านนบีอิบรอฮีมว่า
ให้ท่านเดินทางออกไปยังดินแดนมักก๊ะห์พร้อมกับบุตรและภริยาทั้งสอง
ในขณะนั้นดินแดนมักก๊ะห์ยังเป็นดินแดนว่างเปล่า ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย
เป็นเพียงแค่ทุ่งทะเลทรายและภูเขาโล่งๆ ไม่มีต้นไม้ อีกทั้งยังไม่มีตาน้ำ
ครั้นเมื่อท่าน นบีอิบรอฮีมพร้อมด้วยบุตรและภริยาได้มาถึงแล้ว
ทั้งหมดก็ได้นั่งลงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่แห้งกรอบ ณ
สถานที่นี้ที่จะเป็นที่ก่อสร้างก๊ะอฺบ๊ะห์
(อาคารสี่เหลี่ยมใจกลางบริเวณมัสยิดอัลฮะรอมในนครมักก๊ะห์ ประเทศซาอุดิอารเบีย)
แล้วท่านบีอิบรอฮีมได้ทิ้งภริยาและบุตรไว้กับเสบียงเพียงแค่ผลอินทผาลัมและ
น้ำคนละถุง (ทำจากหนังสัตว์) เท่านั้น
ดังนั้น
พระนางฮาญัรก็ได้สังเกตอากัปกิริยาของผู้เป็นสามีที่ทำให้ประหลาดใจนั้น
นางถามถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องรอและถามจนได้คำตอบว่าคือ พระบัญชาจากอัลลอฮ์ นางจึงดีใจและจิตใจของนางก็สงบลง
ทำให้นางมั่นใจว่า นางต้องปลอดภัยแม้นว่าในสถานที่นั้นไม่มีเพื่อนบ้านอยู่เลยก็ตาม
และในขณะนั้นอิสมาอีลก็กำลังอยู่ในวัยดื่มนม
ส่วนเสบียงอาหารอันน้อยนิดก็กำลังจะหมดไปเมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน
ครั้นเมื่อน้ำที่อยู่ในถุงนั้นหมด พระนางฮาญัรก็พยายามออกค้นหาน้ำ วิ่งไปวิ่งมา
จนกระทั่งไต่ขึ้นไปบนเขาซอฟา (Lomonosov เป็นเนินเขาเล็กๆอยู่ด้านล่างของภูเขาอบีกุบิส
ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ของก๊ะอฺบ๊ะห์ ห่างจากก๊ะอฺบ๊ะห์ 130 เมตร) และภูเขามัรวะฮ์
(เป็นเนินเขาสีขาว อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของก๊ะอฺบ๊ะห์)
ไปกลับเจ็ดเที่ยวก็ไม่ได้ผล ในขณะที่นางไปถึงภูเขามัรวะฮ์ ครั้งสุดท้าย
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงที่ทำให้ตกใจ นางจึงได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ดังกล่าว
เสียงนั้นไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นเสียงของน้ำที่พวยพุ่งออกมาอย่างแรงจากใต้ดิน
น้ำนั้นก็คือ น้ำซัมซัม นั่นเอง นางจึงได้รับกำลังใจมากจากมาลาอีกะห์ญิบรีล
(ชื่อของทูตสวรรค์ที่ทำหน้าที่นำวจนะของอัลลอฮ์มายังท่านนบี) ว่า ณ ที่นี้ คือ
บ้านของอัลลอฮฮ์
อิสมาอีลพร้อมกับบิดาของเขาจะทำการสร้างบ้านหลังนั้นขึ้นมาในไม่ช้าและบ้าน
หลังนั้นก็คือ ก๊ะอฺบ๊ะห์ในปัจจุบันนั่นเอง
ตาน้ำซัมซัมในหลักฐานทางประวัติศาสตร์อิสลามอีกรายงานหนึ่งได้บันทึกว่า
จุดเริ่มต้นของการเกิดบ่อน้ำซัมซัม มีเหตุการณ์สำคัญหลายครั้งเกิดขึ้น คือ
หลังจากที่พระนางฮาญัรไปถึงที่ภูเขามัรวะฮ์แล้ว นางก็กลับมายังสถานที่ของนางเพื่อมาดูลูก
พลันก็ได้ยินเสียงที่ไม่เห็นเจ้าของเสียง นางสังเกตเสียงนั้นและได้กล่าวว่า “ฉันได้ยินเสียงของท่าน โปรดช่วยฉันด้วยเถิดหากที่ท่านนั้นมีความดี”
แล้วญิบรีลก็ออกมาปรากฏตัวและกระทืบตรงสถานนั้นกลายเป็นบ่อน้ำด้วยเท้าของ
เขา น้ำก็พุ่งออกมาจากที่นั่น พระนางฮาญัรจึงกั้นน้ำนั้นด้วยดินฝุ่นรอบๆตาน้ำนั้น
เพราะนางกลัวว่า น้ำจะไหลออกมาหมดก่อนที่นางจะได้ใช้ประโยชน์
ในที่สุดด้วยกับน้ำซัมซัมนั้นพระนางฮาญัรจึงสามารถต่อชีวิตของนางและบุตรได้
อยู่มาวันหนึ่ง
เผ่าอาหรับญุรฮุม ( Jurhum ชื่อเผ่าอาหรับในยะมัน
หรือประเทศเยเมนในปัจจุบัน ) เดินทางมาจากดินแดนชาม (Sham ประเทศซีเรียในปัจจุบัน)
จะมุ่งหน้ากลับบ้านเมืองของเขา โดยผ่านทางดินแดนมักก๊ะห์
ขณะที่ชนเผ่าญุรฮุมเห็นฝูงนกต่างๆที่บินอยู่รอบๆมักก๊ะห์
พวกเขาต่างก็รู้สึกแปลกใจเพราะตามปกติแล้วฝูงนกต่างๆเหล่านั้นจะบินอยู่ใน สถานที่ที่มีน้ำ
ทั้งๆที่พวกเขารู้จักสถานที่นี้ดีว่าไม่มีตาน้ำ
แล้วหัวหน้าเผ่าญุรฮุมก็ส่งคนไปดูฝูงนกเหล่านั้น ปรากฏว่าเจอตาน้ำจริงๆ
ทำให้เผ่าญุรฮุมมาพบกับพระนางฮาญัรและบุตรชายที่อยู่ใกล้ตาน้ำซัมซัมนั้น
หัวหน้าเผ่าญุรฮุมกล่าวกับพระนางฮาญัรว่า “พวกเราขออยู่ที่นี่ได้หรือไม่”
พระนางฮาญัรตอบว่า “ได้แต่ท่านทั้งหลายไม่สามารถครอบครองตาน้ำนี้ได้”
จากนั้นชนเผ่าญุรฮุมก็ตั้งถิ่นฐานอยู่กับพระนางฮาญัร ณ
สถานที่นั้นในฐานะเพื่อนบ้านที่ซื่อสัตย์
เมื่ออิสมาอีลเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ท่านก็ได้แต่งงานกับสตรีผู้หนึ่งในเผ่า
ญุรฮุมและศึกษาภาษาอาหรับจากพวกเขา
พวกญุรฮุมอยู่กับตระกูลนบีอิบรอฮีมมาหลายปีและหลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง
พวกญุรฮุมก็สามารถครอบครองมักก๊ะห์ได้
ขณะนั้นพวกเขาทำตามอำเภอใจของทรัพย์สมบัติของก๊ะอฺบ๊ะห์ที่บรรดาเศรษฐีในขณะ
นั้นทิ้งไว้ให้
ในเวลาต่อมาปัญหาเรื่องการดูแลรักษาบ่อน้ำซัมซัมก็ถูกละเลย
ไม่ได้รับการเอาใจใส่ จนกระทั่งชาวอาหรับเผ่าคุซาอะห์ (Kusa-ah)
เกิดขึ้นในดินแดนมักก๊ะห์
มีอิทธิพลจนสามารถขับไล่พวกเผ่าญุรฮุมออกไปจากมักก๊ะห์สำเร็จ
แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกไปนั้น ก็ทำการปิดบ่อน้ำซัมซัมโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย
ทำให้ชาวมักก๊ะห์ไม่รู้ว่าบ่อน้ำซัมซัมอยู่ที่ไหน
แต่มันก็ยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหนแม้นว่าเวลาได้ล่วงเลยไปนานนับศตวรรษก็ตาม
เมื่อมาถึงยุคสมัยของอับดุลมุฏฏอลิบ (ปู่ของท่านนบีมูฮัมหมัด
ศ็อลลัลลอฮุ่อะลัยฮิวะซัลลัม) หัวหน้าอาหรับเผ่ากุรอยช์ (กุเรช
เป็นตระกูลที่มีเกียรติสูงสุดในตระกูลชาวอาหรับ)
ได้ฝันว่าถูกใช้ให้ไปขุดบ่อน้ำซัมซัมนั้นหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ท่านอับดุลมุฏฏอลิบก็ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ถูกใช้ในความฝันของเขานั้น
โดยไม่ลังเลใจใดๆทั้งสิ้น เขาขุดบ่อน้ำนั้นสองคนกับลูกชายของเขาคือ ฮาริษ
ขณะที่กำลังขุดบ่อน้ำนั้น
พวกกุรอยช์หลายคนแปลกใจพร้อมทั้งพูดจาถากถางที่อับดุลมุฏฏอลิบไปขุดหลุมใน มัสยิด
อับดุลมุฏฏอลิบจึงตอบว่า “ฉันขุดบ่อน้ำนี้พบมีดดาบหนึ่งเล่มและหุ่นตุ๊กตาทองคำสองตัวที่พวกยุรฮุมนำ
มาว่อนไว้เมื่อครั้งก่อน” และในที่สุดอับดุลมุฏฏอลิบ
ได้พบกับบ่อน้ำซัมซัมอีกครั้ง สร้างความดีอกดีใจให้กับชาวมักก๊ะห์กันถ้วนหน้า
ทำให้ความเคารพต่อ อับดุลมุฏฏอลินั้นเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มกุรอยช์
ทั้งยังทำให้คณะฮัจย์ไม่ต้องลำบากหาน้ำอีกต่อไป
ฉะนั้น ตั้งแต่สมัยอับดุลมุฏฏอลิบจวบจนถึงปัจจุบันนี้
บ่อน้ำซัมซัมยังคงถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี
ส่วนอาคารที่มีอยู่ข้างบ่อน้ำซัมซัมถูกก่อสร้างขึ้นในสมัยคอลีฟะห์( กาหลิบ)
แต่ในระยะหลัง อาคารดังกล่าวถูกรื้อถอนโดยรัฐบาลซาอุดิอารเบียเพื่อขยายลานฏอว๊าฟ (
ฏอว๊าฟ คือ เดินเวียน) ให้กว้างขึ้นและบ่อน้ำนี้อยู่ภายใต้พื้นฏอว๊าฟ
ปัจจุบันนี้ใช้เครื่องสูบน้ำไฟฟ้าสำหรับสูบน้ำขึ้นมาใช้
ในทัศนะอิสลาม
น้ำที่ประเสริฐสุดในปฐพีนี้คือ น้ำซัมซัม ซึ่งจะช่วยเตือนความจำ
ประเทืองในความรู้ให้แก่ผู้ดื่มและยังเป็นยารักษาโรค ชาวมุสลิมทั่วโลกที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์จะได้ดื่มกินและนิยมนำน้ำซัม
ซัมติดไม้ติดมือกลับมาเป็นของฝากกับครอบครัว บุตรหลานและญาติพี่น้องเสมอ
บ่อน้ำซัมซัมใต้ลานฏอว๊าฟ
ความพิเศษของน้ำซัมซัมนี้
มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาหรือปกติวิสัยกับน้ำซัมซัมนี้ ความพิเศษ
ความแปลกประหลาดของน้ำชนิดนั้นพุ่งออกมาจากกลางทะเลทรายและยังคงไหลออกมา
อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ผ่านช่วงเวลานับพันปีพร้อมกับคุณค่าในตัวของมันเอง
ความเป็นจริงก็คือ น้ำซัมซัมไม่เหือดแห้งและเป็นน้ำที่มีคุณสมบัติพิเศษจริงๆ
ความจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ด้วยความลึกเพียง 5 ฟุตของบ่อน้ำนี้และห่างไกลจากแหล่งต้นกำเนิด
แต่ผลิตน้ำและเป็นต้นกำเนิดของตัวมันเองอย่างสมบูรณ์แบบและต่อเนื่อง โดยถูกแจกจ่ายให้กับผู้ที่มาประกอบพิธีฮัจย์อย่างต่อเนื่องแกลอนแล้ว
แกลอนเล่า น้ำซัมซัมจึงได้ถูกกำหนดให้เป็นของขวัญอันล้ำค่าแก่มุสลิมทั่ว โลก
และในตัวของน้ำซัมซัม ยังคงเปี่ยมด้วยคุณค่าอันมหาศาลที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ซึ่งอุดมไปด้วยแคลเซียมและแมกนีเซียม รวมทั้งฟลูออไรด์จากธรรมชาติที่ช่วยในการฆ่าเชื้อโรค
เป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งก็คือ โดยปกติทางด้านชีวภาพแล้ว
น้ำบ่อจะมีการปนเปื้อนและแปรสภาพจนเน่า โดยเฉพาะในอุณหภูมิที่สูงแต่น้ำซัมซัม
ปรารศจากสิ่งเหล่านี้คือไม่มีการเน่าและแปรสภาพ
จากวันเวลาที่พระนางฮาญัร
ผู้ซึ่งมุ่งมั่นอยู่กลางทะเลทรายเพื่อที่จะเสาะหาเครื่องยังชืพมาเลี้ยงตัว
เองและลูกของนาง จนได้พบกับบ่อน้ำซัมซัมในพื้นทะเลทราย
ทั้งหมดด้วยความเมตตาจากพระองค์อัลลอฮ์ (ซุบฮานาฮูวาตาอาลา)
มุสลิมยังคงได้ดื่มกินจากบ่อน้ำนี้ในปัจจุบัน
และด้วยเสน่ห์ของบ่อน้ำนี้ที่ไม่เคยมีวันแห้งเหือดหายสำหรับชาวอาหรับและ
มุสลิมทั่วโลกแล้ว น้ำบ่อนี้จึงมีความพิเศษและมีความสำคัญ
รวมทั้งประวัติศาสตร์อันงดงามที่เป็นมรดกสู่รุ่นหลานของอิสลามต่อไป
โดย:
นางสาวกัณทิมา มานมาน
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตปัตตานี
ที่มา: ฮามีดี อัลฮัรย์
จากหนังสือสถานที่สำคัญในมักกะฮฺและมะดีนะฮฺ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น