ข้อ 1 ห้ามสตรีออกจากบ้านโดยใส่ของหอม
ซัยนับ อัษษะก่อฟียะฮ์ (ร.ฏ.)
รายงานจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ความว่า
"เมื่อคนใดจากพวกเธอไปละหมาดอีชาอ์บางรายงาน กล่าวว่า ไปมัสยิด -
ดังนั้น
นางอย่าใส่ของหอมในคืนดังกล่าว" รายงาน โดยมุสลิมท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ (ร.ฏ.)
รายงานจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ความว่า
"สตรีใดที่ได้สัมผัสกับควันไม้หอม
ดังนั้น
เขาก็อย่ามาร่วมละหมาดอีชาอ์ในช่วงสุดท้าย(ของคืน)พร้อมกับเรา" รายงานโดย
มุสลิมท่านร่อซูลุลเลาะฮ์
ซ๊อลลัลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "สตรีใดที่ใส่ของหอม
แล้วเดินผ่านผู้คนกลุ่มหนึ่ง
เพื่อให้พวกเขาได้กลิ่นหอมของนาง
แน่นอนว่าเธอคนนั้นคือโสเภณี" รายงานโดย ท่านอะหฺมัด ดู หนังสือ มุสนัด เล่ม 4 หน้า 444หะดิษเหล่านี้ ได้บ่งชี้แก่เราว่า ห้ามบรรดาสตรีออกจากบ้านโดยใส่ของหอม เนื่องจากการที่พวกนางใส่ของหอมต่อหน้าบรรดาผู้ชายนั้น
เป็นการกระตุ้นอารมณ์ของพวกเขา
ดังนั้น จึงจำเป็นต่อสตรีทุกคน อย่าออกจากบ้านของนาง นอกจากความเป็นจำเป็นตามหลักของศาสนา และให้นางประดับประดาด้วยจรรยามารยาทของศาสนา
โดยการคลุมฮิญาบ สวมใส่อาภรณ์หลวม ๆ
ไม่รัดรูป ปราศภาพลักษณ์ที่ทำให้เกิดการยั่วยวน ไม่ใส่น้ำหอมในขณะออกจากบ้าน แต่ทว่า
เมื่อนางกลับถึงบ้าน
ก็อนุญาตให้ใส่น้ำหอมได้ตามที่ต้องการ
โดยมีเงื่อนไขว่า
ต้องไม่ให้ชายอื่นได้กลิ่นหอมนั้น
ข้อ 2
ห้ามภรรยาปฏิเสธการร่วมหลับนอนกับสามี เมื่อเขาร้องขอ
บทนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ
ซึ่งสตรีส่วนมากต้องเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
จนกระทั่งทำให้พวกนางต้องได้รับการสาปแช่งจากมะลาอิกะฮ์ ด้วยสาเหตุที่สามีมีความโกรธกับนาง
รายงานจาก อบูฮุรอยเราะฮ์ ท่านนบีซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
"เมื่อสามีได้เรียกร้องให้ภรรยาของเขาไปยังที่หลับนอน
แล้วนางให้การปฏิเสธโดยค่ำคืนนั้นสามีความโกรธต่อนาง ดังนั้น
บรรดามะลาอิกะฮ์จะทำการสาปแช่งนางจนกระทั่งถึงยามเช้า" รายงานโดย บุคคอรีย์และมุสลิม
หะดิษนี้
ชี้แนะแก่เราว่าภรรยานั้นต้องมีสิทธิพึงปฏิบัติต่อผู้เป็นสามี และส่วนหนึ่งจากบรรดาสิทธิต่าง ๆ ก็คือ
สิทธิในการแสวงหาความสุขจากนาง
และถือเป็นสิ่งต้องห้ามแก่ภรรยาที่ให้การปฏิเสธสิทธิดังกล่าวที่มีต่อสามี ถ้าหากไม่เช่นนั้น
นางก็จะได้รับการสาปแช่งจากมวลมะลาอิกะฮ์ด้วยสาเหตุดังกล่าว และการสาปแช่งนั้น หมายถึง
บรรดามะลาอิกะฮ์ได้วอนขอดุอาอ์ให้นางห่างไกลจากความเมตตาของอัลเลาะฮ์ตะอาลา ดังนั้น
นางเป็นรู้สึกอย่างไรเล่า
ที่บรรดามะลาอิกะฮ์ได้ทำการขอดุอาอ์ให้นางห่างไกลจากความเมตตาของอัลเลาะฮ์
และต่อไปจะเป็นเช่นไรในขณะที่นางได้อยู่เบื้อหน้าอัลเลาะฮ์ตะอาลา (หมายถึง รอรับการสอบสวน) และการปฏิบัติต่าง ๆ
ของนางนั้นได้ถูกนำเสนอ
ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้น
มีการประพฤติที่ชั่วจนเป็นเหตุให้นางต้องได้รับการลงโทษด้วยสาเหตุของบาปนั้น
แต่หากว่า ภรรยาอยู่ในสภาวะที่ป่วย มีประจำเดือน
และถือศีลอดในเดือนรอมะฏอน
ก็อนุญาตให้นางปฏิเสธในสิ่งดังกล่าวได้
ข้อ 3 ห้ามสตรีพรรณนาหญิงอื่นให้สามีของนางรับฟัง
รายงานจากท่านอิบนุมัสอูด
ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ
เขากล่าวว่าท่านนบีซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ผู้หญิงคนหนึ่งอย่าทำการสัมผัสกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แล้วนางทำการพรรณนาคุณลักษณะแก่สามีของนาง ประหนึ่งเขาได้มองเห็นหญิงคนนั้น" รายงานโดย อัลบุคอรีย์
ท่านอิมามอิบนุอัลเญาซีย์ กล่าวว่า
"ถูกห้ามจากสิ่งดังกล่าวนี้
เพราะผู้ชายคนหนึ่ง
เมื่อได้ยินคุณลักษณะของสตรี ปณิธานของเขาจะสั่นไหว (คือให้ความสนใจ)
และหัวใจของเขาจะมุ่งปรารถนา
จิตใจจะคอยแสวงหาคุณลักษณะที่สวยงาม (ที่มีเหมือนกับสตรีคนนั้น) ดังนั้นบางครั้งการพรรณนาคุณลักษณะ
จะเรียกร้องไปสู่ความต้องการคุณลักษณะที่สวยงามนั้น และบางครั้ง
การให้ความสนใจแสวงหาสิ่งดังกล่าวนั้น
ทำให้เกิดความคะนึงหา(สตรีคนนั้น)"
ดูอะหฺกาม อันนะซาอ์ หน้า 63
ข้อ
4 ห้ามสตรีทำการถือศีลอดสุนัต โดยที่สามีอยู่ นอกจาก ได้รับการอนุญาตจากเขา
เพราะมีหะดิษจากท่านอบูฮุรอยเราะฮ์
รอฏิยัลลอฮุอันฮุ ว่า ท่านนบี
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ไม่อนุญาตให้สตรีทำการถือศีลอด
โดยที่สามีของนางอยู่ นอกจาก ได้รับอนุญาตจากเขา
และนางจะไม่อนุญาต(ให้ผู้อื่น)เข้ามาในบ้าน
นอกจากได้รับอนุญาตจากเขา" รายงาน
โดย บุคคอรีย์ และ มุสลิม
ท่านอิมามอันนะวาวีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า
"หะดิษนี้ถูกตีความว่ามันคือการถือศีลอดสุนัตโดยไม่เจาะจงเวลาที่เฉพาะ และการห้ามนี้
คือ การห้ามแบบฮะรอมที่บรรดานักปราชญ์ของเราได้กล่าวชัดเจนไว้ และสาเหตุการห้าม คือ
สามีนั้นมีสิทธิในการหาความสุขกับนางในทุก ๆ วัน
และสิทธิดังกล่าวเป็นสิ่งวายิบ(จำเป็น) อย่างรีบด่วน
ดังนั้นสิทธิดังกล่าวไม่สามารถละเลยด้วยเหตุของการกระทำสุนัตและสิ่งที่วายิบแบบล่าช้า
และหากกล่าวว่าสมควรอนุญาตให้นางทำการถือศีลอดโดยไม่ต้องขออนุญาตจากสามี
เพราะเมื่อสามีต้องการหาความสุขกับนางก็อนุญาตแก่ผู้เป็นสามีได้โดยที่การศีลอดของนางต้องเสียไป
ดังนั้นคำตอบก็คือตามปกติแล้วการถือศีลอดของนางจะมาหักห้ามเขาแสวงหาความสุข
เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้การถือศีลอดของนางเสียไปและคำกล่าวของท่านนบี
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า "โดยที่สามีของนางอยู่ด้วย"
หมายถึง อยู่ในเขตเมือง(ที่เขาอาศัยอยู่)
แต่เมื่อสามีได้เดินทาง
ก็อนุญาตให้ภรรยาทำการถือศีลอดได้
เนื่องจากสามีไม่สามารถมาหาความสุขได้ หากนางไม่ได้อยู่พร้อมกับสามี"
ดู ชัรฮ์ซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 3 หน้า 65
ข้อ
5 ห้ามสตรีอวดความสวยงามต่อหน้าบรรดาบุรุษเพราะอัลเลาะฮ์ตะอาลาตรัสความว่า
"พวกเธอและอย่าได้โออวดความงาม เช่น การอวดความงาม (ของพวกสตรี)
แห่งสมัยงมงายในยุคก่อน" อัลอะหฺซาบ 33
รายงานจากอบูฮุรอยเราะฮ์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ความว่า
ท่านนบีซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
กล่าวว่า "บุคคลสองประเภทที่อยู่ในนรก ซึ่งฉันไม่เคยเห็นทั้งสองมาก่อนเลยคือ กลุ่มชนที่ถือแซ่ที่เหมือนกับหางวัวซึ่งพวกเขาจะใช้ตีบรรดาผู้คนทั้งหลาย
บรรดาสตรีที่สวมใส่เสื้อผ้าคับทำให้มองเห็นเรือนร่าง
สตรีที่ปฏิบัติตนให้เป็นจุดเด่นชักจูงหญิงอื่นให้คล้อยตามด้วย สตรีที่ออกนอกลู่ทาง
(ไม่ทำตามคำสั่งของอัลเลาะฮ์)
สตรีที่เกล้าผมไว้ด้านหลังดูเหมือนตระโหนกอูฐ ซึ่งพวกนางเหล่านั้นจะไม่ได้เข้าสวรรค์
พวกนางจะไม่ได้พบแม้กลิ่นหอมของสวรรค์และกลิ่นหอมของสวรรค์นั้นมีระหว่างทางเท่านี้เท่านั้น"
รายงานโดย มุสลิม
บรรดาพี่น้องสตรีโปรดจงพิจารณาถึงสัญญาลงโทษที่รุนแรงและการลงโทษที่แสนเจ็บปวดนี้ สำหรับสตรีที่อวดความงามของตนต่อหน้าบรรดาชายอื่น หากแม้นว่าพวกนางจะระเริง ภูมิใจ
แต่โลกหน้านางจะมีความโศกเศร้าเสียใจซึ่งมันเป็นสาเหตุห้ามจากการเข้าสรวงสวรรค์และต้องลงในนรกอันลุกโพรง
ดังนั้นเธอจงพึงระวังจากการอวดโฉมความสวยงามต่อหน้าชายอื่นไม่ว่าจะด้วยการคลุมฮิญาบที่ถูกต้องตามหลักของศาสนาหรือใส่น้ำหอมโดยให้ผู้ชายได้รับกลิ่นหอมนั้น เพราะทุก ๆ
จากสิ่งดังกล่าวจะทำให้ได้รับโทษในวันกิยามะฮ์
ข้อ 6
ห้ามขอดุอาอ์ให้ประสบความวิบัติแก่บุตรหลาน
รายงานท่านญาบิร บิน อับดิลลาฮ์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ เขากล่าวว่า
ท่านร่อซูลุเลาะฮ์
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
กล่าวว่า
"พวกท่านอย่าขอดุอาอ์ให้ประสบความหายนะแก่ตัวของพวกท่าน
และพวกท่านอย่าขอดุอาอ์ให้ประสบความหายนะแก่บรรดาบุตรของพวกท่าน
และพวกท่านอย่าขอดุอาอ์ให้ประสบความหายนะแก่ทรัพย์สมบัติของพวกท่าน
โดยที่พวกท่านอย่าขอดุอาอ์จากให้ตรงกับเวลาหนึ่งจากอัลเลาะฮ์ ที่การมอบให้(ขอพระองค์)ได้ถูกขอให้เวลานั้น
แล้วพระองค์ก็จะทรงตอบรับให้กับพวกท่าน" รายงานโดย มุสลิม
หะดิษอันมีเกียรตินี้ได้อธิบายแก่เราว่า มีช่วงเวลาหนึ่งที่มีเกียรติซึ่งดุอาอ์จะถูกตอบรับ ดังนั้น
เราจึงถูกห้ามจากการขอดุอาอ์ให้ประสบความวิบัติแก่เรา ,
บรรดาบุตรของเรา , และบรรดาทรัพย์สินของเรา , เพื่อดุอาอ์ดังกล่าวของเราจะไม่ไปตรงกับช่วงเวลาที่ถูกตอบรับ ดังนั้น
เมื่อดุอาอ์ดังกล่าวของเราถูกตอบรับ
ความวิบัติก็จะมาประสบแก่เราด้วยเหตุดังกล่าว
อาจจะมีมารดาบางท่านอาจจะว่ากล่าวในเชิงขอดุอาอ์แก่บรรดาลูก
ๆ ของนาง
โดยที่นางอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะให้เกิดความหายนะแก่บรรดาลูก ๆ
ของนาง แต่ลิ้นมันพลาดไปเท่านั้น และกรณีเช่นนี้ นักปราชญ์กล่าวว่ามันเป็นคำแก้ตัวที่น่ารังเกียจมากกว่าทำ
1 บาปเสียอีก
เพราะว่ามีหะดิษห้ามจากการขอดุอาอ์ให้ตกแก่บรรดาลูก ๆ
ดังนั้นจึงจำเป็นแก่ผู้เป็นมารดาอย่ากล่าวถ้อยคำที่อยู่ในเชิงขอดุอาอ์ให้ประสบแก่บุตรชายและหญิงของนาง ไม่ว่านางจะมีเจตนาที่ไม่ดีหรือดีก็ตาม
ข้อ 7 ห้ามเปิดเผยความลับการร่วมสุขระหว่างสามีภรรยา
ท่านอบู
สะอีดอัลคุดรีย์ได้รายงานว่าท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ซอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ผู้ที่มีตำแหน่งชั่วช้าที่สุด ณ
ที่อัลเลาะฮ์ ในวันกิยามะฮ์นั้น คือ
สามีได้สัมผัส(ร่วมเสพสุข)กับภรรยาของเขาและภรรยาของเขาได้สัมผัส(ร่วมเสพสุข)กับเขา หลังจากนั้นความลับของนางได้ถูกเปิดเผย"
รายงานโดย มุสลิม
ท่านอิมามอันนะวาวีย์ กล่าวว่า
"ในหะดิษนี้ห้ามสามีเปิดเผยการเสพสุขระหว่างเขาและภรรยาและพรรณนารายละเอียดดังกล่าว
และห้ามเปิดเผยดังกล่าวที่เกี่ยวกับภรรยาไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรืออื่น ๆ" ชัรหฺซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 3 หน้า 610
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า การสัญญาลงโทษนี้ ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ผู้เป็นสามีเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงภรรยาด้วยเช่นกัน
ข้อ 8
ห้ามสตรีทำการใช้จ่ายทรัพย์สินของสามีนอกจากได้รับการอนุญาตเสียก่อน
รายงานอบูอุมามะฮ์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ฉันได้ยินท่านร่อซูลุลเลาะฮ์
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ให้สุนทรพจน์ในปีฮัจญ์อำลาว่า
สตรีจะไม่ทำการใช้จ่ายสิ่งใดจากบ้านของสามีของนาง นอกจากได้รับการอนุญาตจากสามีของนางเสียก่อน"
หะดิษนี้ หะซัน รายงานโดย อบูดาวูด
หะดิษที่ 3565 , และท่านอัตติรมีซีย์ หะดิษที่ 670
หะดิษนี้ชี้แนะให้เราทราบว่า
มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ภรรยาต้องขออนุญาตในการใช้จ่ายทรัพย์สินของผู้เป็นสามี และเป้าหมายของการใช้จ่ายตรงนี้ หมายถึง
ใช้จ่ายทรัพย์ในหนทางที่ถูกต้องตามหลักศาสนา เช่น
ซะกาต บริจาคทาน ใช้จ่ายเพื่อสนองความต้องการ ช่วยผู้ที่เดินทางผ่านมา หรือผู้ที่ขัดสน
ดังนั้น
เมื่อนางได้ทำการใช้จ่ายไปตามหลักการที่ศาสนาส่งเสริมจากทรัพย์สินของสามีเหล่านี้ โดยได้ขออนุญาตแล้ว แน่นอนนางก็จะได้รับผลบุญในการเฉกเช่นเดียวกันกับผู้เป็นสามี
ข้อ 9 ห้ามสตรีทำการ สัก
ถอนขนที่ใบหน้า และถ่างฟัน
ท่านอิบนุมัสอูด รายงานว่า ท่านนบี
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
لعن الله الواشمات والمستوشمات, والناصمات والمتنمصات, والمتفلجات للحسن,المغيرات خلق الله
"อัลเลาะฮ์ทรงสาปแช่ง
ผู้หญิงที่ทำการสัก และใช้ให้ทำการสัก
ผู้หญิงที่ขจัดขนบนใบหน้าและผู้หญิงที่ขอให้ขจัดขนบนใบหน้า
ผู้หญิงที่ถ่างช่วงระหว่างฟันเพื่อความสวยงาม
ซึ่งพวกนางเป็นผู้ที่ทำการเปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลเลาะฮ์..." รายงานโดย
อัลบุคอรีย์และมุสลิม
การขจัดขนบนใบหน้า ย่อมครอบคลุมถึง
ขนคิ้วด้วยเช่นกัน ท่านอิมามอันนะวาวีย์กล่าวว่า
"การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่หะรอม นอกจาก ผู้หญิงที่มีเคราและหนวดงอกขึ้นมา
ดังนั้น จึงไม่หะรอมที่จะขจัดมันออกไป ยิ่งกว่านั้น
ยังถือว่าเป็นสุนัตให้ขจัด(เคราและหนวดของสตรี)ตามทัศนะของเรา(มัซฮับชาฟิอีย์)...และแท้จริง
การห้ามนั้นคือการขจัดขนคิ้วและบริเวณใบหน้า" ดู ชัรหฺซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 7
หน้า 361 หะดิษที่ 2125
การถูตัดฟันและการถ่างช่องระหว่างฟัน
ซึ่งเป็นสิ่งที่หะรอม
เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานมาและท่านนบี
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามไว้
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า
وَلَآمُرَنَّهُمْ فَلَيُغَيِّرُنَّ خَلْقَ اللَّهِ
"แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสร้าง"
อันนิซาอ์ 119
ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
กล่าวว่าอัลเลาะฮ์ทรงแช่งสตรีต่อไปนี้
والمتفلجات للحسن المغيراتِ خلقَ الله
"บรรดาสตรีที่ทำการถ่างช่องระหว่างฟันเพื่อความสวยงาม
คือผู้ที่ทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงสร้าง"
รายงานโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม
แต่การตัดฟันหรือถ่างช่องฟันเพื่อการรักษาหรือปกปิดลักษณะที่น่าเกลียด
ย่อมไม่เป็นไรเนื่องจากการห้ามนั้นเพื่อความสวยงาม
ท่านอิมามอันนะวาวีย์ กล่าวว่า
"ในหะดิษนี้ชี้ถึงการห้ามนั้นคือสิ่งที่ถูกกระทำเพื่อความสวยงาม ถ้าหากสตรีท่านหนึ่งมีความต้องการที่จะเยียวยาหรือปกปิดข้อตำหนิของตนและอื่น
ๆ ก็ถือว่าไม่เป็นไร" ดู
ชัรหฺซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 7 หน้า 361
ข้อ 10 ห้ามสตรีฝ่าฝืนสามีของนาง
สมควรแก่ภรรยาที่ดี(ซอลิหะฮ์)
ทำการอยู่ร่วมชีวิตกับสามีด้วยความเพียงพอ
เชื่อฟังและภักดีต่อเขาด้วยความดีงาม
เพราะท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮะวะซัลลัม
ใช้ให้บรรดาภรรยาปฏิบัติดีแก่สามีของพวกนาง
ห้ามทำการฝ่าฝืนและปฏิบัติในแง่ลบกับพวกเขา ท่านนบีซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"หากฉันจะใช้คนหนึ่งทำการสุยูดให้กับบุคคลหนึ่ง
แน่นอนฉันจะใช้ภรรยาทำการสุยูดต่อสามีของนาง" รายงานโดย ท่านอัตติรมีซีย์ หะดิษนี้ซอฮิหฺ
ท่านนบีซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
กล่าวเช่นกันว่า
"อัลเลาะฮ์จะไม่มองไปยังสตรีคนที่ไม่ทำการขอบคุณต่อสามีของนาง
โดยที่นางเองยังคงพึ่งพาต่อเขา" รายงานโดย อันนะซาอีย์ หะดิษนี้ซอฮิหฺ
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถูกถามเกี่ยวกับbบรรดาสตรีที่ประเสริฐสุด? ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า
"คือสตรีที่ภักดี
เมื่อเขา(สามีของนาง)ได้สั่งใช้
เธอมีความปิติยินดีเมื่อเขาได้มอง
และเธอจะคอยดูแลรักษาเขา เกี่ยวกับตัวของนางและทรัพย์สินของเขา" รายงานโดย อันนะซาอีย์ หะดิษซอฮิหฺ
ดังนั้น
สมควรแก่มุสลิมะฮ์ทุกคนในการสร้างความพอใจกับผู้อภิบาลของนางด้วยการฏออัตสามี
และปฏิบัติดีกับเขาในทั้งคำพูดและการกระทำ
เพราะฉะนั้นสามีจึงเป็นดังกล่าวสวรรค์และนรกของภรรยา
หมายถึงหากปฏิบัติดีต่อสามีก็จะได้รับสวรรค์และหากปฏิบัติไม่ดีก็จะได้รับสิ่งตรงกันข้าม
แต่การฏออัตของภรรยาที่มีต่อสามีนั้นต้องกระทำเสมอไปหรือไม่ แม้กระทั่งในเรื่องที่ฝ่าฝืนกระนั้นหรือ?
แน่นอนว่าไม่ใช่แน่นอน
เพราะการที่ภรรยาฏออัตต่อสามีนั้นต้องมีข้อแม้ว่าต้องไม่เป็นสิ่งที่ทำให้อัลเลาะฮ์
ตะอาลา ทรงพิโรธ ดังนั้นเมื่อสามีใช้ให้นางกระทำสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนต่ออัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์
แน่นอนว่าต้องไม่มีการภักดีต่อสามีในเรื่องเฉกเช่นดังกล่าวนี้
ท่านอะลี ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ
กล่าวว่า ท่านนบี
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ไม่มีการฏออัตในเรื่องที่เป็นการฝ่าฝืนต่ออัลเลาะฮ์ แต่ทว่าการฏออัตนั้นจะอยู่ในความดีงาม"
รายงานโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม
ท่านอิมามอิบนุอัลเญาซีย์
ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า
"สิ่งที่เราได้กล่าวมา
จากความจำเป็นในการฏออัตต่อสามี
ดังนั้น
จึงไม่อนุญาตให้ภรรยาทำการฏออัตในเรื่องที่ไม่อนุญาต พร้อมสามีขอนางทำการร่วมประเวณีในขณะที่มีประจำเดือน
ในสถานที่อันน่ารังเกียจ ในกลางวันของเดือนรอมาฏอน หรืออื่น ๆ
จากบรรดาสิ่งฝ่าฝืนทั้งหลาย ดังนั้นจึงไม่มีการฏออัตกับมัคโลคในการฝ่าฝืนต่ออัลเลาะฮ์
ตะอาลา"
ข้อ 11
ห้ามสตรีปฏิเสธตัดพ้อต่อสามีผู้ร่วมชีวิต
รายงานจากท่านอิบนุอับบาส
ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ฉันถูกทำให้ได้เห็นนรก ดังนั้นชาวนรกส่วนมากจะเป็นบรรดาผู้หญิงซึ่งพวกนางชอบปฏิเสธ
จึงถูกตั้งคำถามขึ้นว่าพวกนางปฏิเสธอัลเลาะฮ์กระนั้นหรือ ?
ท่านนบีกล่าวว่า
พวกนางปฏิเสธต่อสามีผู้ร่วมชีวิต
ปฏิเสธต่อการปฏิบัติอันดีงาม
หากท่านปฏิบัติดีต่อคนหนึ่งคนใดจากนางเป็นเวลานาน หลังจากนั้นนางได้เห็นสิ่งหนึ่ง(ที่นางไม่พอใจ)จากท่าน
นางก็จะกล่าวว่า ฉันไม่เห็นความดีใด ๆ จากท่านเลย" รายงานโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม
รายงานจากอัสมาอ์ บุตรี ยะซีด
ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา นางกล่าวว่า
"ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ได้เดินผ่านพวกเรา
ซึ่งเรากำลังอยู่ในหมู่บรรดาผู้หญิงทั้งหลาย
แล้วท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้ให้สลามแก่พวกเรา
และกล่าวว่าพวกเธอจงระวังเกี่ยวกับการปฏิเสธบรรดาผู้ที่ให้ความอำนวยสุข พวกเรากล่าวว่า โอ้ ร่อซูลลัลลอฮ์
อะไรคือการปฏิเสธบรรดาผู้ที่ให้ความอำนวยสุขหรือ?
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่าบางครั้งอาจจะมีผู้หญิงคนหนึ่งที่คลองโสดอยู่กับบิดามารดาของนางเป็นเวลานาน
จากนั้นอัลเลาะฮ์ทรงประทานสามีให้แก่นางและพระองค์ทรงประทานให้นางมีทรัพย์สินและบุตร แล้วนางก็เกิดความโกรธขึ้นมาครั้งหนึ่ง แล้วนางก็ชอบกล่าวว่า ฉันไม่เคยเห็นเขามีดีอะไรสักวันหนึ่งเลย" หะดิษหะซัน
รายงานโดยท่านอิมามอะห์มัด ,อบูดาวูด , และท่านอัตติรมีซีย์
ดังนั้น การปฏิเสธตัดพ้อต่อสามี คือการปฏิเสธเนี๊ยะมัติเช่นเดียวกัน ซึ่งการตัดพ้อน้อยใจ ก็คือ ความไม่พอใจต่อค่าเลี้ยงดูของสามี ซึ่งท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำการอธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้ว
เพื่อไม่ให้สตรีผู้เป็นภรรยาอ้างข้อแก้ตัวต่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา
ในขณะที่พระองค์ทรงถามพวกนางเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้เป็นสามี ว่า
เธอปฏิบัติดีต่อเขาหรือว่าเธอตัดพ้อไม่พอใจสิ่งอำนวยสุขของเขาหรือว่านางมีความไม่พอใจต่อค่าเลี้ยงดู!?
เพราะฉะนั้นพฤติกรรมเช่นนี้
เป็นสิ่งทำให้มีผลตามมาที่อันตรายและเป็นบาปอันใหญ่หลวง
ซึ่งทางที่ดีพวกนางต้องละทิ้งพฤติกรรมดังกล่าวและให้มีการตักเตือนซึ่งกันและกันในหมู่พวกนาง
ว่าสิ่งดังกล่าวนั้นเป็นสาเหตุให้ต้องถูกลงโทษในวันกิยามะฮ์
ข้อ 12 ห้ามบรรดาสตรีของหย่ากับสามีโดยไร้เหตุผล
การแต่งงานเป็นบทบัญญัติที่อัลเลาะฮ์ทรงเรียกร้องและท่านร่อซูลุลเลาะอ์
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ให้การส่งเสริม
ดังนั้นการแต่งงานจึงเป็นความผูกพันระหว่างชายและหญิงตามหลักการของศาสนา ที่มีขอบเขตจำกัด มีกฎระเบียบต่าง ๆ ได้วางไว้ และมีปัจจัยต่าง ๆ
ที่ได้รับผลมาจากการแต่งงาน
เช่นการรังสรรค์สังคม
ด้วยการมีครอบครัวอิสลามที่อยู่ในทางนำของอัลกุรอานและซุนนะฮ์
ประหนึ่งก้อนอิฐหนึ่งที่ร่วมสร้างสรรค์สังคมที่มีความมีคุณธรรม แต่บางครั้งอาจเป็นการทำลาย
ด้วยเหตุของการมีครอบครัวที่หย่าร้างแยกทางกัน
ซึ่งเป็นผลในแง่ลบที่มีต่อ สามี
ภรรยา ลูก ๆ และสังคม
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้
อัลเลาะฮ์จึงวางบทบัญญัติและทรงเรียกร้องให้เรามีการแต่งงาน -
เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเรามาและทรงตระหนักยิ่งต่อศักยภาพของเรา - ดังนั้น
พระองค์ทรงรู้ดีว่า พฤติกรรมหรือจรรยามารยาทนั้น บางครั้งขาดความเหมาะสม บรรดาความคิดย่อมมีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น
พระองค์ทรงวางบัญญัติในเรื่องของการหย่า(ต่อล๊าก)ให้แก่เรา กล่าวคือ
หากไม่มีทางเลือกอื่นในการคืนดีระหว่างสองสามีภรรยาแล้ว ก็ต้องมีการแยกทางระหว่างทั้งสองด้วยการหย่า
แต่ทว่าอัลเลาะฮ์ ตะอาลา ทรงวางระบบของหลักชาริอัต เช่น การหย่าไว้ โดยมีขอบเขต
ผู้ที่มักง่ายจะละหมาดขอบเขตดังกล่าวนั้นไม่ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งจากขอบเขตเหล่านั้น คือ
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ทรงห้ามบรรดาสตรีขอหย่าต่อบรรดาสามีอย่างไร้เหตุผล และท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้เตือนให้ตระหนักถึงโทษต่อผู้ที่กระทำสิ่งดังกล่าว
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"สตรีใดที่เขาให้สามีของนางทำการหย่า
โดยไม่มีปัญหาอันใด ดังนั้น
กลิ่นหอมของสวรรค์จะถูกห้ามแก่นาง"
รายงานโดย อบูดาวูด , อัตติรมีซีย์ ,
และท่านอิบนุมาญะฮ์
และหะดิษนี้ซอฮิหฺ
ข้อ 13 ห้ามสตรีอยู่ตามลำพังกับชายอื่น
ท่านอับดุลเลาะฮ์ อิบนุอับบาส
ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า
ฉันได้ยินท่านนบี
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวสุนทรพจน์ ความว่า "ชายคนหนึ่งจะไม่อยู่ตามลำพังกับผู้หญิงคนหนึ่ง
นอกจากพร้อมกับนางต้องมีมะห์รอม(ผู้ที่แต่งงานร่วมกันไม่ได้)" รายงานโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม
ท่านอุกบะฮ์ บิน อามิร
(ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ)
ได้รายงานว่า
แท้จริงท่านร่อซูลุลเลาะฮ์
ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
กล่าวว่า "พวกท่านจงระวังการเข้าไปหาบรรดาสตรี ผู้ชายคนหนึ่งจากชาวอัน
ซ๊อรตั้งคำถามขึ้นว่า
ท่านเห็นว่าอย่างไรเกี่ยวกับพี่น้องของสามี? ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ตอบว่า
พี่น้องสามีคือความตาย" รายงานโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม
ดังนั้น
สองหะดิษนี้ระบุชัดเจนในเรื่องของการห้ามอยู่ร่วมตามลำพังระหว่างบุรุษและสตรีอื่น
และเราได้นำเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้เนื่องจากสตรีส่วนมากทำเบาความเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว
ด้วยการอนุญาตให้ชายอื่นเข้าไปพบนางได้นั่งร่วมคุยกับนางได้ ด้วยการอ้างว่า เขาเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักของครอบครัว
แต่นางได้ทำให้เสื่อมเกียรติด้วยการอ้างเหตุผลที่คลุมเครือดังกล่าวทำลายครอบครัวของตนเอง
ฉะนั้น
จึงมีความจำเป็นต่อสตรีมุสลิมะฮ์ต้องไม่ให้ผู้ใดเข้ามาในบ้านของสามีนอกจากผู้ที่สามีพอใจ และให้นั่งคุยด้วยมารยาทตามกฎบัญญัติของศาสนาด้วยการคลุมฮิญาบ
ไม่นั่งตามลำพังสองต่อสองและต้องมีความจำเป็นเท่านั้น
ดังนั้นสตรีผู้เป็นภรรยาต้องไม่นั่งพร้อมกับชายอื่น แม้กระทั่งอยู่ต่อหน้าสามีหรือคนใดจากผู้ที่ไม่สามารถแต่งงานกับนางได้ก็ตาม -
เพียงเพื่อนั่งพูดคุยหรือพูดจาพาทีกับอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ทว่าการนั่งพูดคุยนั้นมีความจำเป็นทางด้านศาสนา เช่นเพื่อการเยียวยารักษาหรือเพื่อการแต่งงาน
สตรีบางส่วนนั่งคุยกับชายอื่นโดยมีบุตรเล็ก
ๆ ของตนร่วมอยู่ด้วย
และอ้างว่าหากมีบุตรเล็ก ๆ ทั้งหญิงหรือชาย
ร่วมอยู่ด้วยถือว่าไม่เป็นการอยู่ร่วมกันตามลำพัง
ซึ่งดังกล่าวนี้
ถือว่าไม่ถูกต้อง
เพราะการมีเด็กเล็ก ๆ ร่วมอยู่ด้วยนั้น
เหมือนกับไม่มี
เนื่องจากไม่มีความละอายใด ๆ ให้กับเด็กเพราะอายุยังน้อย และเช่นเดียวกัน
ในกรณีที่บรรดาชายอื่นมากกว่าหนึ่งได้อยู่ร่วมกับสตรีเพียงคนเดียวถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้าม
และบางครั้งผู้ชายพบกับผู้หญิงพบกันระหว่างทางโดยบังเอิญก็ถือว่าอนุญาตให้เดินทางพร้อมกับเขาได้
แต่ให้ผู้ชายเดินนำหน้าสตรีเสมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา
ในขณะที่ท่านหญิงได้เดินทางอยู่ข้างหลังกองทหาร ซึ่งอยู่ในช่วงของเหตุการณ์ที่ท่านหญิงถูกกล่าวหาในครั้งนั้น
.............................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น