ประวัติความเป็นมา
การถือศีลอดเดือนรอมฎอน
ในทุกๆ ปี
ศาสนิกชนมุสลิมในศาสนาอิสลามจะปฏิบัติภารกิจถือศีลอดเดือนรอมฎอน
เป็นการทดสอบความศรัทธาอันแรงกล้าต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ประทานพระบัญญัติแก่มวลมนุษย์
เพื่อฝึกฝนให้มวลมนุษย์รู้จักความอดกลั้นอดทน มีจิตใจหนักแน่น
และไม่ท้อถอยอย่างง่ายดายต่อความยากลำบากที่เผชิญอยู่ ณ เบื้องหน้า
เมื่อย่างเข้า เดือนรอมฎอน (رمضان)
หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ชาวมุสลิมจะเริ่มถือศีลอดตลอดช่วงเดือนนี้เป็นเวลา
29
– 30 วัน เป็นการปฏิบัติตนตามบทบัญญัติข้อที่สี่ในหลักปฏิบัติศาสนบัญญัติ
5 ประการ คือ
1).
การกล่าวปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์
และนบีมูฮำหมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์
2). ดำรงละหมาด
3). บริจาคทาน
(ซะกาต)
4). ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
และ
5). ประกอบพิธีฮัจย์ที่นครมักกะฮฺ
การถือศีลอดนี้
หมายถึงการตั้งใจประกอบศาสนกิจเพื่ออัลเลาะห์ ด้วยการอดอาหาร งดเครื่องดื่ม
อดการบริโภคทุกชนิด พร้อมทั้งงดเว้นจากการร่วมประเวณี จะต้องระมัดระวังตนเองไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งต้องห้ามของศาสนาและการกระทำในสิ่งที่ไร้สาระ
การกระทำใดๆ
ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า ไม่ว่าจะด้วย
ทางมือ
ด้วยการทำร้าย หรือหยิบฉวย ลักขโมย
ทางเท้า
ด้วยการก้าวย่างไปสถานที่ต้องห้าม
ทางตา
ด้วยการจ้องมอง ดูสิ่งลามก
ทางหู
ด้วยการฟังสิ่งไร้สาระ การฟังคำนินทาให้ร้าย และ
ทางปาก
ด้วยการโกหก โป้ปด ให้ร้าย พูดเรื่องไร้สาระ หยาบคาย
โดยการปฏิบัติตนเพื่อละเว้นจากการกระทำผิดนี้
เริ่มตั้งแต่รุ่งอรุณจนกระทั่งดวงอาทิตย์ตกดิน
และแสดงให้เห็นว่าการถือศีลอดนั้นไม่ได้จำกัดเพียงเฉพาะการอดอาหารดังที่เข้าใจกันโดยทั่วไปเท่านั้น
หากยังรวมถึงการระมัดระวังตนมิให้ประพฤติผิดในเรื่องอื่นๆ ด้วย
สาระสำคัญของการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนนั้น มีวัตถุประสงค์ คือ
เพื่อให้ผู้ถือศีลอดได้สัมผัสและรับรู้ถึงความทุกข์ยากลำบาก ได้เรียนรู้ถึงอุปสรรรคต่างๆ
ของการดำเนินชีวิต และเมื่อได้สัมผัส ได้รับรู้ถึงความทุกข์ยากแล้ว
การถือศีลอดจึงส่งผลสืบเนื่องให้ผู้ถือศีลนั้นรู้จักอดกลั้นอดทนต่อความทุกข์ยากต่างๆ
ด้วยความพากเพียรและสติปัญญา กล่าวคือ ฝึกฝนจิตใจของชาวมุสลิมทุกคนให้เป็นผู้มีสติ
หนักแน่น มีจิตใจอดทนอดกลั้นทั้งต่อความหิวโหย ต่อความโกรธ ความปรารถนาแห่งอารมณ์
และสิ่งยั่วยวนนานับประการ ซึ่งผลที่ได้จากความเพียรคือการพัฒนาตนเองไปในทางที่ดี
มีความใฝ่สูงด้านจิตใจอยู่ตลอดเวลา จิตสงบ
ไม่ฟุ้งซ่านและพร้อมที่จะเผชิญและฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ นานา มุ่งสูงความสำเร็จ
การถือศีลอดในเดือนรอมฎอนของชาวมุสลิมจึงมีคุณประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิต
ต่อหน้าที่การงาน และกิจวัตรประจำวันของชาวมุสลิม นอกเหนือไปจากความยำเกรง
และศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะได้ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้า
นอกเหนือจากการได้สัมผัสความทุกข์ยากและการอดทนแล้ว
การถือศีลอดรอมฎอนยังเป็นกุศโลบายให้มวลมนุษย์รู้จักดำรงชีพด้วยความสมถะและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น
แก่นธรรมนี้คือการขัดเกลาจิตใจให้ละเว้นจากความละโมบ และความตระหนี่นั่นเอง
ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมของมนุษย์
ชาวมุสลิมที่จะถือศีลอดได้จะต้องบรรลุศาสนภาวะ
มีอายุ 15 ปีขึ้นไป และหญิงที่เริ่มมีประจำเดือนจะต้องเริ่มถือศีลอดในปีนั้นๆ
เป็นผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์ ไม่เจ็บป่วย ไม่อยู่ในระหว่างการเดินทาง
หากมีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นสามารถขอผ่อนผันได้โดยเมื่อหายป่วยไข้โดยสมบูรณ์ หรือเสร็จสิ้นการเดินทางจะต้องกลับมาถือศีลอดให้ครบตามจำนวนวันที่ขาดหายไป
และผู้ที่ได้รับการยกเว้นเข้าถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
แต่ให้จ่ายซะกาตประเภทอาหารแก่ผู้ยากไร้เป็นการทดแทน ได้แก่
1.
คนชรา
2.
คนป่วยเรื้อรังที่แพทย์วินิจฉัยว่ารักษาไม่หาย
3.
หญิงมีครรภ์และแม่ลูกอ่อนที่ให้นมทารก
ซึ่งเกรงว่าการถือศีลอดอาจเป็นอันตรายแก่ทารก
4.
บุคคลที่สุขภาพไม่สมบูรณ์
ซึ่งเมื่อเขาถือศีลอดจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
5.
บุคคลที่ทำงานหนัก
บุคคลที่ทำงานกลางแจ้ง เช่น งานในเหมือง งานในทะเลทราย เป็นต้น
ผู้ที่จะถือศีลอดต้องมีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
และมีความแน่วแน่ที่จะฝ่าฟันอุปสรรค ความยากลำบากด้วยความสมัครใจตลอดเดือนรอมฎอน
ภารกิจที่ผู้ถือศีลอดควรกระทำตลอดช่วงเดือนรอมฎอน คือ
การศึกษาพระคัมภีร์อัลกุรอ่านเพื่อ
ทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้และสามารถ
ปฏิบัติตามพระวัจนะของพระเจ้าได้โดยไม่ผิดเพี้ยน
ด้วยคติทางศาสนาว่าเดือนรอมฎอนคือเดือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานคัมภีร์อัลกุรอ่านให้เป็นธรรมนูญชีวิตของมุสลิมทุกคนพึงยึดถือปฏิบัติไว้ให้มั่น
ชาวมุสลิมจึงยึดถือว่าเดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่มีความประเสริฐ
การปฏิบัติศาสนพิธีและท่องคำภีร์อัลกุรอ่านในเดือนรอมฎอนนี้จึงปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษ
ระยะเวลาการถือศีลอดในแต่ละวันจะดำเนินไปในช่วงรุ่งอรุณจนถึงพลบค่ำ
เมื่อพ้นเวลาดังกล่าวแล้วจึงสามารถ ละศีลอด สามารถรับประทานอาหาร ดื่มเครื่องดื่ม
และปฏิบัติกิจวัตรได้ตามปกติ
แต่ต้องกระตือรือร้นละศีลอดทันทีในเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดไว้ให้เพื่อการรักษาคุณงามความดีของผู้ปฏิบัติ
วิธีการละศีลอดที่ชาวมุสลิมยึดถือคือให้รีบละศีลอดก่อนละหมาด
และรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำเพื่อชดเชยน้ำ วิตามิน แร่ธาตุ
และสารอาหารที่จำเป็นที่สูญเสียไปในระหว่างวัน
การถือศีลอดจะดำเนินไปตลอดทั้งเดือนรอมฎอน กระทั่งเข้าสู่ 10 คืน
สุดท้ายของเดือน
ชาวมุสลิมจะปฏิบัติศาสนกิจเรียกว่า เอี๊ยะติกาฟ คือ การบำเพ็ญตนเพื่อประกอบศาสนกิจในมัสยิด
อาทิ การละหมาด การอ่านคำภีร์อัลกุรอ่าน การขอดุอาอ์
ที่จะต้องปฏิบัติภายในมัสยิดเท่านั้น และไม่สามารถออกจากมัสยิดได้นอกจากเหตุ
จำเป็นเท่านั้น
เมื่อสิ้นสุดการถือศีลอดใน วันอิฎิลฟิตรี หรือ วันอีด คือ วันที่ 1 ของเดือนเชาวาล (เดือน 10 ต่อจากเดือนรอมฎอน)
ชาวมุสลิมจะอาบน้ำชำระร่างกาย สวมเสื้อผ้าสวยงาม
ทานอาหารเล็กน้อยก่อนจะไปร่วมละหมาดอิฎิลฟิตรี
ซึ่งเป็นการละหมาดร่วมกันที่ลานกว้าง จ่ายซะกาต (ฟิตเราะห์)
เยี่ยมเยียนญาติมิตรเพื่อให้อภัยและอวยพรให้แก่กันเพื่อเริ่มต้นการดำเนิน
ชีวิตในวันใหม่อย่างผาสุก
ผู้คนโดยทั่วไปมักเข้าใจว่า
การถือศีลอดนั้นกระทำเพียงเฉพาะในเดือนที่เก้าตามปฏิทินอิสลาม
ในความเป็นจริงแล้วการถือศีลอดสามารถทำได้ตลอดทั้งปีด้วยการ ถือศีลอดโดยอาสา
กล่าวคือ พระวัจนะของศาสดาที่ปรากฏใน (อัลบุคอรี 30: 56) กล่าวว่าการถือศีลอดโดยอาสาเพียงเดือนละ
3 วัน ก็เป็นการประพฤติปฏิบัติที่เหมาะสมได้เช่นกัน
ทั้งยังมีรายละเอียดและข้อกำหนด
เกี่ยวกับการถือศีลอดเพิ่มเติมว่าชาวมุสลิมสามารถถือศีล
อดได้ตามช่วงเวลาดังนี้
1.
ถือศีลอด 6 วัน ในเดือนเซาวาล (เดือนที่ 10 ตามปฏิทินอิสลาม)
2.
วันขึ้น 9-10 ค่ำเดือนมุหัรรอม (เดือนที่ 1 ตามปฏิทินอิสลาม)
3.
ถือได้หลายๆ วันในเดือนซะอบาน (เดือนที่ 8
ตามปฏิทินอิสลาม)
4.
วันจันทร์ วันพฤหัสบดี ทุกสัปดาห์
5.
วันขึ้น 13-14-15 ค่ำของทุกเดือน
6.
วันเว้นวัน
ในทางตรงกันข้าม วันที่ห้ามถือศีลอด คือ
1.
วันอีดทั้ง 2 คือ
วันอีดิ้ลฟิตรีและอีดิ้ลอัฎฮา เพราะกำหนดให้เป็นวันรื่นเริง
2.
วันตัซรีก คือวันที่ 11-12-13 เดือนฮัจย์
3.
การเจาะจงถือศีลอดเฉพาะวันศุกร์เท่านั้น
4.
ถือศีลอดตลอดปี
การถือศีลอดของชาวมุสลิมจึงเป็นการปฏิบัติศาสนพิธีที่มีเนื้อหาสาระเพื่อขัดเกลาจิตใจของผู้ปฏิบัติให้ผ่องแผ้ว
ด้วยการพากเพียรต่ออุปสรรคและความยากลำบาก เหน็จเหนื่อย เพื่อให้มีจิตใจมุ่งมั่น
หนักแน่น และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กัน และมุ่งเน้นให้สามารถปฏิบัติได้ตลอดทั้งปี
ไม่ใช่เพียงแต่เดือนรอมฎอนเพียงเท่านั้น อันเป็นกุญแจสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ต้องอาศัยความเกื้อกูล
และไมตรีจิตต่อกันนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น