วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ดาหลา ความงามที่กินได้



ดาหลา เป็นไม้ดอกท้องถิ่นทางภาคใต้ชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกอยู่มากในเขตจังหวัดยะลา นราธิวาส เป็นระยะเวลานาน ในอดีตดาหลามีการนำหน่ออ่อนและดอกมาใช้เป็นผักประกอบอาหาร เหมือนผักทั่วไป

การนำไปใช้เป็นผักประกอบอาหารบางประเภทเพื่อบริโภคในพื้นที่ ในขณะที่ไม่ได้มีการส่งเสริมให้ปลูกส่งผลทำให้ปริมาณต้นดาหลาในพื้นที่ภาคใต้เริ่มลดน้อยลงทุกปี  บางสายพันธุ์ที่มีปลูกอยู่ในพื้นที่ถึงกับเกือบจะสูญพันธุ์  ดังนั้นศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดตรัง (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง) จึงได้ทำการเก็บรวบรวมพันธุ์มาเพาะเลี้ยงไว้ที่ศูนย์ เพื่อเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุกรรมพืชที่กำลังจะสูญสิ้นไป


ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดตรัง (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง) ให้ข้อมูลว่า ดาหลาเป็นพืชล้มลุกประเภทใบเลี้ยงเดี่ยว มีดอกที่สวยงาม จัดเป็นพืชที่มีอยู่ในวงศ์เดียวกับขิงและข่า มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่าเหง้าซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดของหน่อดอกและหน่อใหม่  ส่วนลำต้นจะอยู่เหนือผิวดินขึ้นมามีสีเขียวเข้มลักษณะเป็นกาบใบที่โอบซ้อนกันแน่น มีความสูงประมาณ 2-3 เมตร  โดยรวมแล้ว ดาหลา 1 ต้น สามารถให้หน่อใหม่ได้ประมาณ 7 หน่อ ในเวลา 1 ปี

ใบ มีรูปร่างยาวรี กลางใบกว้างแล้วค่อยๆเรียวไปหาปลายใบและฐานใบ ผิวเกลี้ยงทั้งด้านบนและด้านล่าง มีความยาวใบประมาณ 30-80 เซนติเมตร  ส่วนดอก จะมีลักษณะเป็นดอกช่อ ประกอบด้วยกลีบประดับเรียงซ้อนกันจะบานออกประมาณ 25-30 กลีบ

ลักษณะเด่นของดาหลาที่อีกหนึ่งประการ คือ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีแสงรำไร หรือที่ร่ม ไม้ยืนต้น สามารถเก็บดอกได้ตลอดทั้งปี แต่จะให้ดอกดกในช่วงฤดูร้อน (มีนาคม-พฤษภาคม) ในขณะที่ไม้ดอกชนิดอื่นๆไม่มีดอกให้เก็บ


ปัจจัยในการปลูกดอกดาหลาที่ผู้ปลูกต้องคำนึง คือ แสงและฤดูกาล แปลงปลูกควรให้แสงส่องผ่านประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ หากโดนแสงแดดมากเกินไปสีของกลีบประดับจะจางและทำให้ใบไหม้  นอกจากนี้ฤดูปลูกที่เหมาะสมควรเป็น ฤดูฝนช่วงเดือน กรกฏาคม สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ดาหลาจะมีการเจริญเติบโตทางด้านลำต้นและแตกหน่อได้มาก



ปัจจุบันศูนย์ฯ เก็บรวบรวมพันธุ์ดาหลาไว้ในพื้นที่ศูนย์ทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ดอกสีชมพู  สีแดง  สีขาวและสีชมพูอ่อน(โอโรส)  โดยมีวิธีการเพาะขยายพันธุ์  4 วิธีดังนี้

1.การแยกหน่อ  คือ เป็นวิธีการแยกหน่อที่มีความเหมาะสม กล่าวคือ ต้องมีความสูงประมาณ 60-100 เซนติเมตรขึ้นไป  มีกิ่งอ่อนกึ่งแก่ประมาณ 4-5 ใบ มีหน่อดอกอ่อนๆประมาณ 3 หน่อ นำไปปลูกลงถุงพลาสติกประมาณ 1 เดือนเพื่อให้หน่อแข็งแรงก่อนนำลงไปปลูกในแปลง

2.การแยกเหง้า  คือ เป็นการแยกเหง้าที่เกิดใหม่ที่โคนต้น ไปปลูกในแปลงเพาะชำ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี ต้นจึงจะเริ่มให้ดอก

3.การปักชำหน่อแก่  กล่าวคือ การนำหน่อแก่ไปชำในแปลงเพาะชำเพื่อให้แตกหน่อใหม่ที่มีความสมบูรณ์แข็งแรง จากนั้นจึงค่อยแยกหน่อใหม่ย้ายลงไปปลูกในแปลง

4.การเพาะเมล็ด คือ การนำเมล็ดแก่ที่ได้จากต้นแม่ไปเพาะในกระบะปลูกจนได้ต้นกล้าและย้ายลงปลูกในถุงพลาสติก พอต้นแข็งแรงถึงจะสามารถนำลงแปลงปลูกได้  แต่อย่างไรก็ตามการขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ค่อนข้างจะช้ากว่าวิธีอื่นๆ แต่จะได้ผลดี คือ มีอัตราการได้ต้นดาหลาสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นจากการหลายพันธุ์ของต้นพ่อและแม่


สำหรับแปลงปลูกดาหลา โดยทั่วไปจะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร ความยาวตามขนาดของพื้นที่
แปลงปลูกดาหลาจะมีสองแบบ คือ การปลูกแบบยกร่องสวน และไม่ยกร่องสวน  ซึ่งทั้งสองวิธีจะทำการไถ่พรวนตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน จากนั้นขุดหลุมปลูกระยะห่างระหว่างต้นและแถวประมาณ 2 เมตร  รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสูตร 20-20-20 ในอัตรส่วน 1 ต่อ 25 จากนั้นนำต้นพันธุ์ที่เตรียมไว้ด้วยวิธีการขยายพันธุ์ที่กล่าวมาทั้ง 4 วิธีข้างต้นลงปลูก  กลบดินและรดน้ำให้ชุ่ม แต่ถ้าหากปลูกในเชิงพานิชย์ แนะนำว่าควรทำการขุดยกร่องสวนให้มีคูน้ำลึกประมาณ 1 เมตร กว้าง 1 เมตร ขั้นระหว่างแปลงปลูก เพื่อให้มีความชุ่มชื้นภายในแปลงอยู่ตลอดเวลา

การให้ปุ๋ย ต้องให้ 2-3 เดือนต่อครั้ง โดยจะใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 ในอัตรา 96 กิโลกรัมต่อไร่ ปุ๋ยคอก 15 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี นอกจากนี้อาจใช้อินทรีย์วัตถุทีผุพัง เช่น ใบไม้ต่างๆ ลำต้นแก่ของดาหลา วัชพืชที่ขึ้นตามท้องร่องมาหมักเป็นปุ๋ย หรืออาจใช้ดินเลนจากท้องร่องพูนใส่ตามโคนต้นในกรณีปลูกแบบยกร่อง

การให้น้ำ ในระยะเริ่มแรกของการปลูก ต้องรดน้ำให้ชุ่ม  วันละ 1 ครั้ง แต่เมื่อต้นดาหลาเริ่มตั้งตัวได้อาจเว้นระยะห่างของการให้น้ำจากวันละครั้งออกไปเป็นประมาณ 2-3 วันต่อครั้ง แต่อย่างไรต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ ถ้าเป็นช่วงฤดูร้อนควรเพิ่มการให้น้ำมากขึ้น โดยใช้ระบบการให้น้ำแบบสปริงเกอร์บนแปลงที่ไม่ยกร่อง

ดาหลาเป็นพืชที่มีการเจริบเติบโตที่รวดเร็ว  เพราะฉะนั้นในช่วงแรกจะต้องทำการกำจัดวัชพืชบ่อยๆ  แต่เมื่อดาหลาโตกอแน่นใบบังแสงซึ่งกันและกัน แสงไม่สามารถส่องผ่านมากระทบพื้นดิน ทำให้วัชพืชไม่สามารถเจริญงอกงามได้ ระยะหลังจึงไม่ต้องทำความสะอาดเก็บวัชพืชบ่อยมากนัก  ส่วนโรคและแมลงยังพบโรคทีเป็นปัญหาสำคัญกับดาหลา

สำหรับการเก็บเกี่ยวดอกดาหลาจะนิยมตัดในช่วงเช้า จะเลือกดอกที่มีความสมบูรณ์ พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้ซึ่งจะมีอายุประมาณ 2 อาทิตย์ นับตั้งแต่เริ่มแท่งหน่อดอก โดยการตัดกานดอกดาหลาจะต้องตัดให้ชิดโคนแล้วนำไปแช่ในน้ำสะอาด ห่อดอกด้วยถุงพลาสติกเพื่อป้องกันไม่ให้กลีบดอกห้อยและช้ำ ยืดอายุการใช้งานได้นานถึง 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ


......................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น